Friday 29 March 2024 | 12 : 48 pm

เปิดใจ ว่าที่ ดร.กอบกฤต สุขสถิตย์ คนรุ่นใหม่กับมุมมองที่อยากเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดียิ่งขึ้น

ว่าที่ ดร.หนุน กอบกฤต สุขสถิตย์ จบการศึกษาชั้นมัธยมจากโรงเรียนเซนต์คาเบรียล จากนั้นศึกษาต่อระดับปริญญาตรีที่มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ คณะบริหารธุรกิจ สาขาการตลาด ต่อด้วยการบินไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ University of Wales Institute, Cardiff สหราชอาณาจักร กระทั่งเรียนจบ ปัจจุบันกำลังศึกษาต่อปริญญาเอกอยู่ที่ มหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะบริหารธุรกิจและการบัญชี สาขาการจัดการธุรกิจบริการและอีเว้นท์ เราไปพูดคุยทำความรู้จักกับ ว่าที่ ดร.อปป้า สุดหล่อ คนนี้ให้มากขึ้นอีกสักหน่อย

-อยากให้พูดถึงครอบครัว และโมเมนต์น่ารักๆ ของสมาชิกในบ้าน

ครอบครัวเราอาศัยอยู่ในย่านถนนสุทธิสารฯ ผมเกิดในครอบครัวธรรมดาที่แสนอบอุ่น โดยมีคุณพ่อคุณแม่เป็นแรงบันดาลใจในการใช้ชีวิตเรื่อยมา คุณพ่อเป็นคนที่อยู่ในกฎเกณฑ์ ใจดี และคิดถึงคนอื่นก่อนตัวเองเสมอ จึงทำให้มีแต่คนรัก และเป็นคนที่เพื่อนอยากคบหาด้วยมากมาย ส่วนคุณแม่ก็เป็นคนโอบอ้อมอารี ใจกว้าง และสามารถเข้าใจทุกสิ่งใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ได้ พูดง่ายๆ ว่าท่านเป็นคนที่เปิดกว้างถึงขีดสุดเลยละ (ยิ้ม) หรือจะมองอีกมุมหนึ่งคุณแม่ก็เป็นคนที่หัวสมัยใหม่มากๆ ครับ

-เล่าถึงการไปเรียนต่อต่างประเทศให้ฟังหน่อย

ผมได้มีโอกาสไปเรียนต่อที่ต่างประเทศที่สหราชอาณาจักร อย่างที่หลายๆ ท่านได้เคยไปเที่ยวกัน บ้านเมืองเขาจะมีความหลากหลายทางเชื้อชาติและวัฒนธรรมเป็นอย่างมาก ผมว่าด้วยความที่อังกฤษเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว และมีคนหลายเชื้อชาติมาอาศัยอยู่ ทำให้ประเทศนี้มีความหลากหลายมากที่สุดเลยก็ว่าได้ ตอนนั้นสนุกมากเลยครับกับการไปใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษ และแปลกมากตรงที่เราได้เพื่อนจากหลายมุมโลกเพียงเพราะไปเรียนที่แคว้นเวลส์ที่เดียว ตอนที่เรียนอยู่ ผมมีทั้งเพื่อนชาว ฟิลิปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ อเมริกา ออสเตรเลีย หรือแม้กระทั่งคนอังกฤษเองก็เป็นเพื่อนผมด้วยครับ

-มุมมองในเรื่องความแตกต่าง ของต่างประเทศและเมืองไทย

ขอพูดถึงสิ่งที่ชอบก่อน ที่ผมชอบมากเลยก็คือ รถไฟฟ้า หรือที่คนอังกฤษเรียก Tube เวลาเราไปไหนมาไหนผมว่าสะดวกมากๆๆๆ คือเวลาที่เราขึ้นมาจากรถไฟฟ้าใต้ดินก็ถึงที่หมายได้เลย หรือแค่เดินต่อนิดเดียวไม่กี่ก้าวก็ถึงที่หมายแล้ว ไม่ต้องมานั่งต่อมอเตอร์ไซค์เพื่อที่จะเข้าบ้านเหมือนกับเมืองไทยเรา

และสิ่งที่อะเมซซิ่งมากๆ เลยก็คือ ถ้าเราไม่อยากหลงในกรณีที่ไปบ้านเพื่อนครั้งแรก ก็ให้ใส่รหัสไปรษณีย์ลงไปใน Google Map เลย ถึงที่หมายชัวร์ เพราะรหัสไปรษณีย์บ้านเขามันถูกซอยย่อยซะจนเป็นบริเวณที่เราเดินได้ ไม่เหมือนบ้านเราที่รหัสไปรษณีย์ครอบคลุมพื้นที่ใหญ่มาก แทบจะทั้งแขวงเลย

ฟุตบาธ หรือ ทางเท้า บ้านเขาก็เดินสะดวก ไม่ต้องคอยมาหลบแผ่นอิฐที่มันกระดกน้ำกระเด็นเปียกเรา ทางที่แคบบ้านเขาก็มีนะ แต่มันก็ไม่ได้แคบซะจนรถเข็นคนพิการผ่านไม่ได้อะครับ

อีกอย่างระบบการข้ามถนน หรือทางม้าลาย เขาคิดมาดีมาก แถมคำนวณเวลาเป๊ะๆ พอเดินก้าวลงถนนแล้วเดินไปอีกฝั่งนึงมันจะกะพริบพอดีเป๊ะ แล้วซักพักก็แดงพอดี เผื่อในกรณีคนเดินช้าหรือผู้สูงอายู นี่เป็นสิ่งที่แก้ปัญหาง่ายๆ ที่ควรนำมาใช้กับบ้านเรา รวมทั้งการกดปุ่มไฟเพื่อข้ามถนน ซึ่งบ้านเราก็เริ่มเอามาใช้แล้ว แต่บ้านเราพอกดปุ๊บไฟเขียวให้ข้ามนี่นานมากกกก คนเดินกลับถึงบ้านแล้วยังเขียวอยู่เลย นี่ก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถยนต์ไม่อยากจอดให้คนข้ามได้เหมือนกันครับ

แต่สิ่งที่ผมไม่ชอบ (ชอบเมืองไทยมากกว่า) ก็มีเหมือนกัน คือบ้านเขามักมีการเหยียดเชื้อชาติพอสมควรเลย บ้านเราเรื่องนี้น่ารักกว่าเยอะ ถ้ามองในแง่สังคมบ้านเราชนะขาดลอย บ้านเราทั้งใจดี ยิ้มแย้มแจ่มใส และจริงใจครับ

จริงๆ สำหรับผมแล้ว บ้านเราถือว่าปลอดภัยกว่า ถ้าทิ้งเรื่องสถิติไปน่ะนะ แต่เป็นเรื่องของผมเอง ผมอยู่เมืองไทยมาไม่เคยโดนปล้นเลยซักครั้ง แต่ไปอยู่ที่อังกฤษ ในระยะเวลา 3 ปี ผมโดนปล้นตั้ง 2 ครั้งแน่ะ

-ทราบว่าตอนนี้เป็นอาจาร์ย สอนที่ไหนบ้าง เด็กสมัยใหม่นี้เป็นอย่างไร

ก่อนจะลาออกมาเพื่อที่จะลงสมัคร ส.ส. ตอนนั้นผมมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าสาขาการจัดการธุรกิจสายการบิน มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ผมว่าเด็กสมัยนี้น่ารักนะ เปิดกว้างทางความคิดและวัฒนธรรมมาก เป็นกลุ่มคนที่น่ารัก รักในอิสรภาพทางความคิดมากๆ ด้วยความที่พวกเขาเกิดและโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีการสื่อสารและโลกออนไลน์ เลยทำให้พวกเขากล้าแสดงออก แต่ก็มีเด็กเรียบร้อยอยู่บ้าง ไม่ได้กล้าแสดงออกไปซะทั้งหมด และเด็กเหล่านี้บอกเลยว่าใส่ใจในสิ่งแวดล้อมมากกว่าเด็กรุ่นก่อนๆ มาก แต่เวลาสอนก็มีบางครั้งที่เด็กค่อนข้างใจร้อน เข้าใจแหละว่าการสื่อสารมันแพร่หลาย และเข้าถึงง่ายไปเสียหมด และผมเชื่อนะว่ารุ่นนี้เขารักในความถูกต้อง เพราะเขาหาข้อมูลได้ง่าย ว่าอะไรถูก หรืออะไรผิด ไม่เหมือนรุ่นลุง รุ่นน้า ที่รักอะไรก็รักหัวปักหัวปำ

-คิดว่าสังคมไทยตอนนี้ต้องการอะไร และคิดว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข หรือช่วยเหลือสังคมได้อย่างไรบ้าง

สังคมไทยตอนนี้ สิ่งที่ต้องการมากที่สุดเลยก็คือ ความโปร่งใสตรวจสอบได้ และประโยคนี้คือสิ่งที่เราทุกคนไม่ใช่แค่ผม อยากให้มีมานานมากๆ อยู่แล้ว ผมอยากให้คนไทยทุกคนทราบถึงการเล่นการเมืองแบบใหม่ได้แล้ว ผมเข้าใจนักการเมืองนะ อยากจะพยายามทำพื้นที่ตัวเองให้ดีที่สุด แต่กลับลืมไปว่าคุณคือตัวแทนของคนไทยด้วยเช่นกัน สังคมไทยต้องการผู้แทนราษฎรอย่างแท้จริงตามชื่อ ส.ส.ต้องกลัวประชาชน ไม่ใช่ก้มหัวให้นายทุน หรืออำนาจมืด

สิ่งที่ผมอยากเปลี่ยนแปลงแก้ไข เลยจริงๆ ก็คือ การที่ปัจจุบันนักการเมืองพอเข้าสภาไปปุ๊บ ลืมหัวประชาชนปั๊บ ผมอยากจะบอกกับนักการเมืองเก่าๆ มากเลยว่า เฮ้ย!! ที่คุณมีทุกวันนี้ได้ก็เพราะประชาชนเลือกคุณมานะ คุณกลับไม่เอาผลประโยชน์ของประชาชนเป็นที่ตั้ง แต่กลับเอาผลประโยชน์ส่วนตัวเป็นที่ตั้ง เราจึงเห็นว่าหลายต่อหลายครั้ง ที่การเข้าชื่อเสนอกฎหมายที่มีประโยชน์ต่อประชาชนกลับโดนคว่ำบ่อยๆ รวมถึงการแบ่งพรรคแบ่งพวก การแบ่งฝ่ายด้วยเช่นกัน เราจะเห็นอยู่บ่อยๆ สภาล่มบ่อยมาก เพื่อที่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะได้รับผลประโยชน์ ทั้งๆ ที่ผลประโยชน์นั้นควรจะตกอยู่ที่ประชาชนเป็นสำคัญ

การกระจายอำนาจก็เช่นกัน ในทุกภาคส่วนควรจะมีสิทธิ์ในการตัดสินใจในพื้นที่ของตัวเอง ไม่ใช่การตัดสินใจทั้งหมดมาอยู่กับส่วนกลาง หรือกระทรวงไม่กี่กระทรวง เมื่อทุกๆ ภาคส่วนได้การกระจายงบประมาณอย่างเหมาะสม ก็จะสามารถนำไปใช้ได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยเพื่อพัฒนาประเทศมากกว่านี้

-ถ้ามีโอกาสเข้าไปในสภา สิ่งแรกที่อยากทำ

สิ่งแรกที่ผมอยากจะทำ แล้วอยากมากที่จะช่วยให้มันเกิดขึ้น ไม่ว่าใครจะเป็นตัวหลักก็ตาม ผมอยากเห็นการสมรสเท่าเทียมของกลุ่มหลากหลายทางเพศ หรือ LGBTQ+ รวมถึงเรื่องความปลอดภัย และความยุติธรรมของพนักงานในธุรกิจกลางคืนด้วยครับ

ที่จริงผมว่า บ้านเมืองเราเจ๋งตรงที่ว่าบริบททางสังคมกับความหลากหลายทางเพศในบ้านเรามันไปไกลมากๆแล้ว บ้านเมืองเราพร้อมแล้ว แต่กฎหมายบ้านเรายังล้าหลังเสียเหลือเกิน จริงๆ สิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานในการสร้างครอบครัวโดยไม่จำกัดเพศ มันควรเป็นสิ่งจำเป็นในบริบทของสังคมไทยได้แล้ว แต่ด้วยความไม่ต้องการของคนไม่กี่กลุ่มกฎหมายนี้ก็ไม่เกิดสักที อย่าลืมว่าคนกลุ่ม LGBTQ+ โดนกดมาโดยตลอด พวกเขาไม่ต้องการอะไรที่เหนือกว่า ขอแค่ความเท่าเทียมกัน แต่คนบางกลุ่มกลับคิดว่าความเท่าเทียมหรือเท่ากันนั้นคือเหนือกว่า ก่อนที่เราจะไปแก้เรื่องความเหลื่อมล้ำต่างๆ ในสังคมอีกมากมาย เริ่มจากจุดง่ายๆ แค่นี้ก่อน เพราะถ้าไม่สามารถทำได้ ความเหลื่อมล้ำในรูปแบบอื่นๆ ก็ยังคงมีอยู่แน่นอน

ธุรกิจกลางคืนก็เช่นกัน เป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินเข้าประเทศได้อย่างมหาศาล ผู้ประกอบการกำไรมากมาย แต่พนักกงานในธุรกิจกลางคืนกลับไม่ได้รับความยุติธรรมและถูกเอาเปรียบ โดยที่ไม่มีอะไรสามารถคุ้มครองพวกเขาได้เลย คิดแล้วเศร้าใจจัง ถ้าผลักดันได้ ผมอยากจะผลักดันเรื่องนี้ให้สำเร็จครับ

อัพเดตและติดตามไลฟ์สไตล์ ว่าที่ ดร.หนุน ได้ที่ Facebook : Kobkrit Sooksatit – กอบกฤต สุขสถิตย์ และ LINE : @Kobkrit

นายกรัฐมนตรี เยี่ยมชมป๊อบอัพช็อป ‘THAINESS STATION สินค้าไทย ร่วมใจเพื่อชุมชน’ ที่สยามพา...

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาเยี่...