Saturday 22 February 2025 | 4 : 02 pm

ผสานความร่วมมือระหว่าง BDMS Wellness Clinic และ Global Wellness Institute เป็นปีที่ 3 ร่วมศึกษาโอกาสของประเทศไทยในด้านเศรษฐกิจเวลเนส ที่มีมูลค่าเติบโตรวดเร็วเป็นอันดับ 1 ของโลก

ความร่วมมือครั้งสำคัญติดต่อกันเป็นปีที่ 3 ระหว่าง Global Wellness Institute และ BDMS Wellness Clinic ในงานวิจัยใหม่ ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับตลาดสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประเทศไทย ซึ่งเติบโตอย่างรวดเร็วเป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านการเติบโตของตลาดสุขภาพ ระหว่างปี พ.ศ. 2565 – 2566 โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 28.4% และมีมูลค่าถึง 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)

ประเทศไทยกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก ด้วยความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute (GWI) นำโดย คุณ Susie Ellis , CEO of GWI และ คุณหมอแอมป์ นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ความร่วมมือครั้งนี้สะท้อนถึงศักยภาพของไทยในฐานะผู้นำด้าน Wellness Tourism และแนวทางขับเคลื่อน Wellness Hub Thailand ที่จะดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเพื่อก้าวเป็น Global Wellness Destination

สาระสำคัญจากรายงาน “ข้อมูลเศรษฐกิจเชิงสุขภาพของประเทศไทย ปี พ.ศ. 2566”

1. ประเทศไทย: ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพระดับโลก

  • ประเทศไทยได้รับการยอมรับด้าน Wellness Tourism เนื่องจากมีบริการที่มีคุณภาพสูง ในราคาที่เข้าถึงได้เมื่อเทียบกับประเทศตะวันตก
  • จุดแข็งของไทยคือ การแพทย์เชิงป้องกัน (Preventive Medicine) ที่สามารถช่วยตรวจจับโรคตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ลดภาระด้านสุขภาพของประชากรในระยะยาว

2. Wellness Economy ของไทยติดอันดับโลก

  • รายงานของ Global Wellness Institute ระบุว่า อุตสาหกรรม Wellness Economy ของไทยมีมูลค่ากว่า 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท)
  • Wellness Tourism เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักของไทย คิดเป็นสัดส่วนใหญ่ของ GDP ภาคการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นอุตสาหกรรมที่ทำรายได้อันดับ 1 ในทั้งหมด 11 อุตสาหกรรมเวลเนสประเทศไทย มูลค่าปีล่าสุดสูงถึง 415,000 ล้านบาท

3. ปัจจัยที่ผลักดันประเทศไทยสู่ Wellness Hub ระดับโลก

ประเทศไทยกำลังขับเคลื่อน Wellness Hub Thailand ภายใต้แนวคิด 5S ที่ช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้

S1: Scientific Wellness Services – บริการสุขภาพมาตรฐานระดับโลก

  • การใช้เทคโนโลยีล้ำสมัย เช่น AI, Telemedicine และการวิเคราะห์ทางพันธุกรรม (Genome) และวิทยาศาสตร์การแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine) เพื่อดูแลสุขภาพเชิงป้องกันสนับสนุนให้ประชาชนสุขภาพดี

S2: Signature Thai Wellness – การบูรณาการศาสตร์ไทยสู่มาตรฐานสากล

  • สมุนไพรไทย นวดไทย และสปาไทย กำลังได้รับความนิยมในระดับนานาชาติ
  • มีการนำศาสตร์แพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือกมาผสานกับเวชศาสตร์ป้องกันและวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

S3: Sustainable Wellness Tourism – การท่องเที่ยวสุขภาพที่ยั่งยืน

  • ไทยเป็นประเทศที่มีแหล่งธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ซึ่งสามารถพัฒนาเป็น Green Wellness Destination
  • การพัฒนาสถานที่พักฟื้นและศูนย์สุขภาพที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

S4: Smart Healthcare Technology – เทคโนโลยีสุขภาพอัจฉริยะ

  • ใช้ AI และ Big Data ในการดูแลสุขภาพ ปรับแผนการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน

S5: Safe & Trusted Destination – ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ

  • มีมาตรฐานด้านสุขภาพและความปลอดภัยสูง ดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มองหาบริการด้านสุขภาพที่เชื่อถือได้

นพ.ตนุพล วิรุฬหการุญ ได้กล่าวถึง ศักยภาพของไทยในฐานะ Wellness Destination ว่า

“เรามีทุกอย่างครบครัน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพสูง ราคาไม่แพง ความเชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์ป้องกัน, สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม, อาหารไทยเพื่อสุขภาพ, การแพทย์แผนไทย, การนวดไทย, สมุนไพรไทย, การต้อนรับสวัสดีอันอบอุ่นของไทย และวัฒนธรรมสุขภาพที่แข็งแกร่ง ประเทศไทยพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำด้าน Wellness Tourism ของโลก และความร่วมมือในครั้งนี้จะช่วยให้ไทยสามารถแข่งขันกับตลาดโลกได้อย่างแข็งแกร่ง มาร่วมเป็น Team Thailand ผลักดันประเทศไทยเราไปสู่การเป็น Global Wellness Destination กันครับ

ความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute กับ BDMS Wellness Clinic ในครั้งนี้จะช่วยต่อยอดให้ไทยก้าวไปสู่ตลาดสุขภาพอันดับต้นๆของโลก โดยมีเป้าหมายที่จะ

  • ดึงดูดนักท่องเที่ยวเชิงสุขภาพจากทั่วโลก Wellness Tourism
  • พัฒนาบริการ Wellness Retreats โรงแรมและศูนย์ดูแลสุขภาพระดับพรีเมียม
  • ส่งเสริม Medical & Wellness Packages ที่ครอบคลุมทั้งการรักษาและการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน

สรุปข้อมูลจากรายงาน “The Global Wellness Economy: Thailand (2019-2023)”

1. ความหมายและภาพรวมของอุตสาหกรรม Wellness

1.1 ความหมายของ Wellness

  • Wellness หมายถึงการแสวงหากิจกรรม การเลือกใช้ชีวิต และวิถีชีวิตที่นำไปสู่สุขภาพที่สมบูรณ์แบบองค์รวม (Holistic Health)
  • เป็นแนวคิดที่มีรากฐานมาจากศาสตร์สุขภาพโบราณ เช่น อินเดีย (อายุรเวท), จีน (การแพทย์แผนจีน), และกรีก-โรมัน
  • Wellness ไม่ใช่เพียงสุขภาพทางกาย แต่ครอบคลุมสุขภาพจิต อารมณ์ สังคม สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ

1.2 ความหมายของ Wellness Economy

  • อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับสินค้าและบริการที่ช่วยให้ผู้บริโภคสามารถดำเนินชีวิตตามแนวทาง Wellness ได้
  • ครอบคลุม 11 ภาคส่วน เช่น การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism), อาหารเพื่อสุขภาพ, เวชศาสตร์ป้องกัน, ฟิตเนส, สปา ฯลฯ
  • ในปี พ.ศ. 2566 อุตสาหกรรม Wellness ทั่วโลกมีมูลค่า 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าจะเติบโตปีละ 7.3% ไปเกือบ 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี พ.ศ. 2571

2. ภาพรวมอุตสาหกรรม Wellness ในประเทศไทย

2.1 มูลค่าตลาด Wellness Economy ของไทย

  • ปี พ.ศ. 2566 มูลค่ารวมเศรษฐกิจสุขภาพไทยอยู่ที่ 40.54 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.4 ล้านล้านบาท) ติดอันดับ #24 ของโลก และอันดับ #9 ในเอเชียแปซิฟิก
  • ฟื้นตัวจากวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้มูลค่าตลาดลดลงในปีพ.ศ. 2563-2564

2.2 การเติบโตของอุตสาหกรรม Wellness Economy ไทย (ปี พ.ศ. 2562-2566)

  • มูลค่าเศรษฐกิจเวลเนส ในปี พ.ศ. 2566 คิดเป็น 7.87% ของ GDP ประเทศไทย

3. ภาคส่วนสำคัญของ Wellness Economy ไทย

3.1 รายได้จากแต่ละภาคส่วนในปี พ.ศ. 2566

  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ 415,000 ล้านบาท
  • อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ 308,900 ล้านบาท
  • ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพและความงาม 242,000 ล้านบาท
  • การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก 118,000 ล้านบาท
  • ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย 113,400 ล้านบาท
  • เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล 91,500 ล้านบาท
  • สปา 53,840 ล้านบาท
  • สุขภาพจิต (Mental Wellness) 22,500 ล้านบาท
  • อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) 17,800 ล้านบาท
  • Wellness ในสถานที่ทำงาน 3,700 ล้านบาท
  • บ่อน้ำพุร้อนและน้ำแร่ 673 ล้านบาท

4. รายละเอียดของแต่ละภาคส่วน

4.1 การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Wellness Tourism)

  • มูลค่าตลาดปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 415,000 ล้านบาท คิดเป็น 30.4% ของตลาด Wellness ไทย
  • การฟื้นตัวอย่างรวดเร็วจาก COVID-19 โดยเพิ่มขึ้น 119.5% จากปี พ.ศ. 2565
  • การท่องเที่ยว Wellness แบ่งเป็น:
    • นักท่องเที่ยวในประเทศ: 8.08 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 12,340 บาท ต่อทริป
    • นักท่องเที่ยวต่างชาติ: 5.40 ล้านคน ใช้จ่ายเฉลี่ย 58,000 บาท ต่อทริป

4.2 สปา

  • รายได้สปาในไทยปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 53,840 ล้านบาท
  • โรงแรมและรีสอร์ทสปาคิดเป็น 70% ของรายได้ทั้งหมด
  • จำนวนสปาในไทย 2,865 แห่ง เพิ่มขึ้นจาก 2,785 แห่งในปี พ.ศ.2565

4.3 ฟิตเนสและกิจกรรมทางกาย

  • รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 113,400 ล้านบาท
  • อุปกรณ์และเสื้อผ้ากีฬาเป็นตลาดหลัก คิดเป็น 74.5% ของรายได้

4.4 อาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการ

  • รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 308,900 ล้านบาท
  • ประเภทสินค้า:
    • อาหารเพื่อสุขภาพ: 193,000 ล้านบาท (+8.4%)
    • วิตามินและอาหารเสริม: 78,700 ล้านบาท (+12.6%)
    • ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนัก: 37,000 ล้านบาท (+11.9%)

4.5 สุขภาพจิต (Mental Wellness)

  • รายได้ปี พ.ศ.2566 อยู่ที่ 22,500 ล้านบาท (+13.7%)
  • รายได้จากผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพจิต เช่น สมุนไพรบำรุงสมอง, โยคะ, การทำสมาธิ การนอนหลับ เติบโตอย่างรวดเร็ว

4.6 เวชศาสตร์ป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล

  • รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 91,500 ล้านบาท (+10.5%)
  • การตรวจสุขภาพเชิงป้องกันและการแพทย์เฉพาะบุคคล (Preventive Medicine, Precision Medicine and Genetic Testing) มีแนวโน้มเติบโตสูง

4.7 การแพทย์แผนไทยและแพทย์ทางเลือก

  • รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 118,000 ล้านบาท (+7.7%)
  • ยาสมุนไพรและผลิตภัณฑ์ธรรมชาติมีสัดส่วนรายได้สูงสุด

4.8 อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate)

  • รายได้ปี พ.ศ. 2566 อยู่ที่ 17,800 ล้านบาท (+11.4%)
  • มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยมีการลงทุนเพิ่มขึ้นในโครงการที่อยู่อาศัยเชิงสุขภาพ

5. แนวโน้มในอนาคต

  • Wellness Economy ของไทยมีแนวโน้มเติบโตเฉลี่ย 7-10% ต่อปี
  • การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และ เวชศาสตร์ป้องกัน จะเป็นภาคส่วนที่เติบโตเร็วที่สุด (Wellness Tourism and Preventive Medicine)
  • อุตสาหกรรม Wellness จะเป็นปัจจัยสำคัญในการผลักดันเศรษฐกิจไทย และจุดแข็งสำคัญของประเทศไทยคือ Wellness Hub Thailand Project

ประเทศไทยมีศักยภาพสูงใน Wellness Economy โดยเฉพาะการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและผลิตภัณฑ์สุขภาพ ซึ่งจะเป็นปัจจัยหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจในอนาคต

ความร่วมมือระหว่าง Global Wellness Institute และ BDMS Wellness Clinic เป็นก้าวสำคัญที่ช่วยผลักดันให้ ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Wellness Hub ของโลก ด้วยแนวคิด 5S ประเทศไทยไม่เพียงแต่จะเป็นจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวสุขภาพที่โดดเด่น แต่ยังสามารถเป็นต้นแบบของระบบสุขภาพที่ยั่งยืน หรือ “Sustainable Wellness” ซึ่งจะช่วยเพิ่ม Health Span ให้กับประชากรทั่วโลก

#BDMSWellnessClinic #สุขภาพที่ดีเริ่มที่การป้องกัน #LiveLongerHealthierHappier #PreventiveMedicine #LifestyleMedicine #ScientificWellness #WellnessHubThailand

ดีนี่ แบรนด์เด็กอันดับ 1 คว้าครอบครัว ‘แดน วรเวช’-‘แพทตี้ อังศุมาลิน’ และลูก...

ดีนี่ (D-nee) ผู้นำผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดเพื่อลูกน้อย หนึ่งในแบรนด์สินค้าคุณ...