Tuesday 30 April 2024 | 10 : 40 am

Beautiful Italian @ Tempo Bar , Le Meridien Bangkok…ค็อกเทลไวน์เทสติ้งสุดพิเศษส่งตรงจากอิตาลี

อิตาลี (Italy) ดินแดนแห่งประวัติศาสตร์และอารยธรรมโบราณของอาณาจักร Roman งดงามด้วยธรรมชาติชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนสีน้ำเงินคราม ที่สำคัญอิตาลีเป็นอีกแหล่งผลิตไวน์ชั้นเลิศของโลกอีกแห่งซึ่งคอไวน์รู้จักเป็นอย่างดี เพราะทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี มีองุ่นสายพันธุ์ท้องถิ่นที่ใช้ผลิตไวน์ขาวและไวน์แดง ถึงกว่า 35 สายพันธุ์เลยละ

และค่ำคืนสุดพิเศษ เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2023 ที่ผ่านมา เรามีโอกาสได้สัมผัสกับ Italian Wine ชั้นเลิศ 5 ตัว ที่ Cafe’ Buongiorno บริษัทนำเข้า Boutique Wine ร่วมกับ Tempo Bar ณ โรงแรม Le Meridien Bangkok ร่วมกันจัดค็อกเทลไวน์เทสติ้งในธีม Beautiful Italian ขึ้น

Tempo Bar อยู่ที่ชั้น 2 ของโรงแรม Le Meridien Bangkok บรรยากาศตกแต่งอย่างเรียบหรู เหมาะกับการพบปะสังสรรค์มากๆ เริ่มตั้งแต่เวลา 17.00-23.00 น. เทมโป บาร์ ก็พร้อมเสิร์ฟอาหารฟิวชั่น และไวน์คุณภาพเยี่ยมในแบบ Sommelier Selection ให้คนรักไวน์ได้ดื่มด่ำกัน (โทร.0-2232-8888, 0-2232-8999)

ไวน์ชั้นเลิศทั้ง 5 ตัว ผลิตขึ้นอย่างพิถีพิถันโดย ARRIGONI Vineyard ซึ่งทำไวน์ต่อเนื่องกันมา 4 ชั่วอายุคนแล้ว ตั้งแต่ ค.ศ.1913 ปัจจุบันจึงมีความเก่าแก่ถึง 110 ปี แล้วไร่องุ่นส่วนใหญ่ยังตั้งอยู่ในพื้นที่ World Heritage Site ของ UNESCO อีกด้วย

เพื่อไม่เสียเวลา เรามาเรียกน้ำย่อยและสร้างความสดชื่นด้วย Sparkling Wine ตัวแรก “Otello Prosecco” มาตรฐานสูงระดับ DOC มีความ Extra Dry คือหวานกลางๆ แต่ยังคงความสดชื่นหอมหวานโดดเด่นของกลิ่น Green Apple ผสานกลิ่นอัลมอนด์ และดอกไม้สีขาว เหมาะเสิร์ฟเย็นฉ่ำที่อุณหภูมิ 8-11 องศาเซลเซียส จึงสัมผัสได้ถึงความพีคของกลิ่น รส และเนื้อสัมผัสนุ่มนวล เนื้อไวน์สีฟางอ่อน และมีพรายฟองเล็กละเอียด เหมาะทานคู่กับเมนูปลาหรือซีฟู้ด Otello Processo ผลิตที่ เมืองเทรวิโซ่ (Treviso) แคว้นเวเนโต้ (Veneto) ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของอิตาลี ซึ่งอากาศเย็น ภูมิประเทศเป็นหุบเขา โดยผลิตขึ้นจากองุ่นพันธุ์ เกลียร่า (Glera) ซึ่งเหมาะในการทำ Prosecco ที่สุด

Otello Prosecco แพริ่งได้ดีกับ “ซิกเคติ” (Cicchetti) อาหารอิตาเลียนสไตล์ภาคเหนือของชาวเวเนเชียน “ซิกเคติ” แปลว่า “อาหารจานเล็ก” หรืออาหารที่เสิร์ฟมาเป็นคำเล็กๆ ซิกเคติครั้งนี้มีส่วนผสมหลักของปูม้า กับปลา Crostini’s Whisked Cod และน้ำมันมะกอกอย่างดี ทานอาหารหนึ่งคำ แล้วจิบ Otello Proseccoตาม ช่วยเสริมรสชาติกันได้อย่างดี 

ต่อด้วย “MANON” ไวน์ขาวอันโด่งดังจาก แคว้นเวเนเซีย (Venezia) ผลิตที่เขตฟริอูลี (Friuli) ทางภาคเหนือของอิตาลี โดยใช้องุ่นพันธุ์ ปินอต กริจิโอ (Pinot Grigio /กลายพันธุ์มากจาก Pinot Noir) ซึ่งถือเป็น ปินอต กริจิโอ ที่ดีที่สุดของอิตาลี ตัวนี้มาตรฐานสูงระดับ DOC ให้สีฟางอ่อน เมื่อกระทบแสงเป็นประกายสีทอง ตัวไวน์มีความบาลานซ์ กลิ่นผลไม้หอมเข้มข้น หวานน้อย เปรี้ยวน้อย และแทบไม่ติดขมเลยเมื่อกลืนไปแล้ว เหมาะทานคู่กับเนื้อสีขาวอย่างปลา ไก่ หอย และซีฟู้ด เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 10-12 องศาเซลเซียส คือดีที่สุด

MANON Pinot Grigio แพริ่งกับ “เซวิเช่ มิกซโต้” (Ceviche Mixto) ซึ่งมีส่วนผสมลงตัวของปลากะพง, มันเทศหวาน, เมล็ดข้าวโพด คลุกเคล้าด้วยซอส Coconut Lime เผ็ดนิดๆ ชิมแล้วให้ความละมุนลิ้น กลิ่นไม่แรง

มาต่อที่ Red Wine ชื่อดังของโลกจาก เกาะซิซิลี (Sicily / คนอิตาเลียนเรียก “ซิซิเลีย”) อย่าง “SIMON B” มาตรฐานระดับ IGT ซึ่งใช้องุ่นพันธุ์หายาก เนโร ดาโวล่า (Nero D’Avola) มาบ่มหมักอย่างใส่ใจ องุ่นแดงพันธุ์นี้มีปลูกเฉพาะที่เกาะซิซิลีเท่านั้น น้ำไวน์สีทับทิมอมแดงเข้มข้น แทนนินนุ่มลื่น เปรี้ยวน้อย มีกลิ่น บลูเบอร์รี่ชัดเจน เหมาะทานคู่กับเนื้อแดง เนื้อย่าง สเต็กเนื้อ ซี่โครงแกะย่าง รวมถึง Risotto (ข้าวผัดครีมข้นอิตาเลียน) เสิร์ฟที่อุณหภูมิ 16-18 องศาเซลเซียส จะเริ่ดมาก

ชื่อ Nero D’Avola มาจากคำว่า “Nero” แปลว่า “สีดำ” ของผลองุ่น เมื่อแก่เต็มที่เปลือกจะกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มเกือบดำ และ “Avola” เป็นชื่อหมู่บ้านทางชายฝั่งตะวันออกของเกาะซิซิลี ซึ่งองุ่นพันธุ์นี้ถือกำเนิดขึ้นมา Nero D’Avola จึงได้สมญามากมาย เช่น สิงห์ดำแห่งซิซิลี และองุ่นดำแห่งหมู่บ้านอะโวล่า นอกจากนี้ยังได้ฉายาว่า “The Godfather Wine” เพราะถูกนำไปโยงกับหนังเรื่อง The Godfather ของตระกูลคอร์เลโอเน่แห่งซิซิลีด้วย

SIMON B Nero D’Avola แพริ่งกับ “อารันชินี่” (Arancini) ข้าวรีซอสโตปั้นเป็นก้อน คลุกเคล้าเกล็ดขนมปัง นำไปทอด สอดไส้ด้วยเนื้อวัวตุ๋น, ถั่วพิสตาชิโอบดละเอียด ผสมกับชีสอร่อยๆ อย่าง Stracciatella Espuma ที่นิยมทานกันในภาคใต้สุดของอิตาลี

จากภาคใต้ของอิตาลี ขยับขึ้นมาที่รอยต่อภาคเหนือ-ภาคกลาง ณ “แคว้นทอสคานา” (Toscana หรือ ทัสคานี / Tuscany) แคว้นใหญ่ชายฝั่งตะวันตก ที่ได้รับลมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทั้งปี มีภูมิประเทศเป็นภูเขาสลับหุบเขา กลางวันร้อน กลางคืนหนาว เช้ามีหมอก จึงกลายเป็นแหล่งสำคัญของการผลิตไวน์ชื่อก้องโลก

เราได้จิบไวน์แดง “Pietraserena In NERO” มาตรฐาน IGT ผลิตจากองุ่นพันธุ์ “เวอร์เมนติโน่ เนโร” (Vermentino Nero) ซึ่งเคยเกือบจะสูญพันธุ์ไปหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเพิ่งได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาจนแพร่หลายอีกครั้ง ไวน์ตัวนี้ผลิตที่ เมืองซาน จิมิกนาโน (San gimignano) ซึ่งมีภูมิประเทศเป็นเนินเขา และดินมีแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์ เนื้อไวน์สีแดงทับทิม ค่อนไปทางสีแดงโกเมน ให้รสกลิ่นไม่ซับซ้อน ไม่หวาน แทนนิน นุ่มลื่นกำลังดี เข้ากันได้ดีกับพวก Cold Meat อย่างไส้กรอก, Tuscan Pasta และพิซซ่า

ครั้งนี้นำ Pietraserena In NERO มาแพริ่งกับ “Pork Belly” หรือหมูสามชั้น เสิร์ฟไซส์เล็กๆ พอดีคำ โดยนำหมูสามชั้นไปทำให้สุกช้าๆ ในแบบสโลว์คุกนานถึง 12 ชั่วโมง ร่วมกับ Red Wine Pear แต่งกลิ่นรสเพิ่มด้วยกระเทียม และใบโหระพาอิตาเลียน จิบไวน์แดงเข้าไปก่อนนิดนึง แล้วกิน Pork Belly ตาม รสชาติเปลี่ยนไปบนลิ้น นับว่าแปลกดี

มาถึงพระเอกของงานครั้งนี้ “Poggio Al Vento” ไวน์แดงมาตรฐานสูงระดับ Chianti Colli Sensi, DOCG ซึ่งเคยได้รับรางวัลจากการประกวดมาแล้วกว่า 10 ครั้ง ตั้งแต่ปี ค.ศ.1995-2017 ไวน์แดงชั้นเลิศของแคว้นทอสคานาตัวนี้ ผลิตจากองุ่น “ซานโจเวเซ่” (Sangiovese) เพียวๆ ถือเป็นพันธุ์องุ่นที่ปลูกมากที่สุดในอิตาลี เป็นองุ่นพื้นเมืองที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของทอสคานา และได้ฉายาว่า “โลหิตแห่งพระเจ้า” (The Blood of God) ด้วยเนื้อไวน์สีแดงทับทิมเข้มข้น ฉายานี้ตั้งเป็นเกียรติแด่เทพเจ้าแห่งสายฟ้า (Zeus) หรือที่คนกรีกและโรมันเรียกว่า Jupiter หรือ Jove นั่นเอง Sangiovese เป็นองุ่นที่เกิดมาเพื่ออาหารอิตาเลียนโดยแท้ เพราะมีความเปรี้ยว ค่อนข้างมาก จึงกลบความเลี่ยนของชีส พาสต้า รวมถึงเป็นไวน์ไม่กี่ชนิดที่รสชาติยังคงอยู่ เมื่อทานคู่กับอาหารที่มี Tomato Sauce

Poggio Al Vento Sangiovese” นำมาแพริ่งกับ “ทาลิอาตะ” (Tagliata) หรือเนื้อวัวย่าง Medium-Rare สไตล์อิตาเลียน สไลด์เป็นชิ้นบางๆ โดยเชฟใช้เนื้อเซอร์ลอยน์สันนอก กินคู่กับแตงซูกินีย่าง มะเขือเทศ ราดซอสบัลซามิคมะกอกดำ นับว่าได้รสชาติที่เข้าคู่กับไวน์แดงขวดนี้อย่างยอดเยี่ยมสุดๆ

Mr.Dieter Ruckernbauer / General Manager, Le Meridien Bangkok
Mr.Marco Cammarata / Executive Chef , Le Meridien Bangkok 
Waraporn Viyanut / Senior Bartender ของ Tempo Bar 

นอกจากไวน์ทั้ง 5 ตัวแล้ว ที่ Tempo Bar ของโรงแรม Le Meridien Bangkok ยังมีเครื่องดื่มพิเศษอีกชนิดให้ลิ้มลอง คือ “ไวน์อุ่น” (Mulled Wine) ซึ่งแถบยุโรปนิยมดื่มกันในช่วงเทศกาลคริสต์มาส ไวน์อุ่นมีประวัติย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 14 เลย ยุคนั้นมีเฉพาะพวกขุนนางชั้นสูงที่ดื่มกัน โดยบ่มหมักไวน์อุ่นในถังไม้เคลือบทองคำ ผสมด้วย ส้ม, น้ำตาล, อบเชย, กานพลู, วานิลลา เพื่อให้เกิดรสชาติกลมกล่อม ภายหลังสามัญชนได้ทดลองนำไวน์อุ่นที่เสื่อมสภาพแล้วมาปรุงใหม่ จนเป็นที่แพร่หลาย ปัจจุบันพบไวน์อุ่นได้ในหลายประเทศ อาทิ อิตาลี, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, ชิลี, ฝรั่งเศส, สวีเดน และโรมาเนีย เป็นต้น

และหากใครชอบกินไอศกรีม ลองแวะไปที่ชั้นกราวด์ของ โรงแรม Le Meridien Bangkok เพราะจะมี Italian Gelato อร่อยๆ ของ Cafe’ Buongiornoให้ชิมด้วย เป็นเจลาโต้ที่ผลิตขึ้นโดยผู้เชี่ยวชาญชาวอิตาเลียนแท้ๆ มีหลายสิบรสให้ชิม ราคาไม่แพง แท่งละ 90 บาทเท่านั้น รสชาติที่อยากแนะนำ เช่น ดาร์ค ช็อกโกแลต หรือวานิลลาแอลมอนด์ ซึ่งอร่อยทั้งสองชนิดเลย

Thanawan Sawangsub (Mind), Food & Beverage Manager / Nuttinee Payungwong (Tik), Marketing Communications Manager / Waraporn Viyanut, Senior Bartender Tempo Bar
Mr. Akarawit Jintanakarn / Director of Food & Beverage, Le Meridien Bangkok

สนใจชิมไวน์ทั้ง 20 แคว้นของอิตาลี และสั่งซื้อไวน์อิตาเลียนหายาก ติดต่อ Cafe’ Buongiorno Tel. 06-2494-1649 (คุณพิม)

เปิดเวที ‘Gourmet & Cuisine Young Chef 2024’ เฟ้นหาเชฟเยาวชนรุ่นใหม่ สู่เชฟมืออาชีพ ...

ใกล้เข้ามาแล้วกับเวทีการแข่งขันทำอาหารระดับอุดมศึกษา “Gourmet & Cuisin...