Saturday 5 October 2024 | 3 : 37 pm

ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี ธุรกิจยุคใหม่ สำเร็จได้ด้วย ดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง

เป็นหนุ่มนักธุรกิจรุ่นใหม่อนาคตไกลอีกคนหนึ่งที่น่าจับตามองจริงๆ สำหรับ ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี หรือ ดร.เจล (วัย 29 ปี) รั้งตำแหน่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด นักบริหารยุคใหม่วิสัยทัศน์กว้างไกล ผู้มีความรู้ทางด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง เป็นอย่างดี ทำให้ธุรกิจด้านสุขภาพอย่างผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเครื่องสำอางแบรนด์ ‘ด็อกเตอร์เจล’ (Dr.JEL) ที่เขาก่อตั้งขึ้นมา มีการเติบโตอย่างรวดเร็วและกำลังไปได้สวย หลายคนคงอยากทำความรู้จักกับเขามากขึ้นแล้วใช่มั้ยล่ะ ไปพูดคุยกับเขากันเลย

ภก.ดร.ปัณณวิชญ์ โชติเตชธรรมมณี หรือ ดร.เจล

“ผมเรียนจบปริญญาตรี จากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร สาขาวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศศาสตร์ทางสุขภาพ ซึ่งเน้นเรียนเกี่ยวกับด้านเภสัชศาสตร์และด้านโปรแกรมเมอร์ไปพร้อมกัน คนที่เรียนจบมาจะสามารถทำได้ทั้งเขียนโปรแกรม สร้างเว็บไซต์ หรือเซ็ตอัพระบบเกี่ยวกับการจ่ายยาในโรงพยาบาลได้เลย การเรียนสาขาวิชานี้จะมีแค่ 10 รุ่นเท่านั้น และผมจบมาเป็นรุ่นที่ 9 ครับ

นอกจากนี้ผมยังเรียนจบปริญญาโท จากคณะวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงด้วย เมื่อจบปริญญาโท ผมมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปประชุมสัมมนา ICSB และไปบรรยายที่อินโดนีเซีย ซึ่งเป็นคลาสของ ฟิลิป คอตเลอร์ (บิดาแห่งการตลาดยุคใหม่) ที่มีนักธุรกิจจากทั่วโลกมาประชุมในงานนั้นด้วย หลังจากประชุมเสร็จ ผู้จัดงานก็ส่งโปรไฟล์ผมไปให้มหาวิทยาลัยชื่อดังพิจารณา ทำให้ผมได้รับมอบปริญญาเอก (กิตติมศักดิ์) จาก Honorary Doctorate Degree Business Administration, International University of Morality, Florida, USA มาด้วย และปัจจุบันผมก็กำลังเรียนหลักสูตรดุษฎีบัณฑิต (ปริญญาเอก) สาขานิเทศศาสตร์การตลาด ที่มหาวิทยาลัยหอการค้าด้วยครับ”

ดร.เจล เล่าว่า สิ่งที่ทำให้เขาเริ่มเข้าสู่การทำธุรกิจก็คือ การทำ ‘LINE @’ (ปัจจุบันคือ LINE Official) โดยเขาเริ่มทำคอนเทนต์เกี่ยวกับ สวัสดีตอนเช้า สวัสดีวันจันทร์ สวัสดีวันอังคาร และคำคมต่างๆ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในเดือน เม.ย.2558 ด้วยความที่เขาเรียนทางด้านโปรแกรมเมอร์มาด้วย ทำให้เขามีความรู้ในเรื่องการเขียนโปรแกรมและเรื่องอัลกอรึธึ่มพอสมควร เขาจึงสร้างคอนเทนต์ใน LINE @ ขึ้นมา จนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และมียอดคนติดตามถึง 40 ล้านคน ขณะเดียวกันเขายังมีแฟนเพจที่ชื่อ : Jellywalker ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับ บทความสุขภาพ ธรรมะ และสวัสดีตอนเช้า ที่มีคนติดตามถึง 8 แสนฟอลโลว์อีกด้วย

“สำหรับผู้ติดตามแฟนเพจนั้นจะมีทุกกลุ่มเลย คือช่วงนั้นผมทำเกือบร้อยแฟนเพจ แล้วแต่ละเพจก็จะแยกกันไปตามคอนเซ็ปต์ เช่น ถ้าเป็นเพจคำคม ก็จะได้แฟนเพจเป็นกลุ่มวัยรุ่น ถ้าเป็นเพจที่ลงบทความสุขภาพ หรือ Wording ประเภท กด LIKE กด Share แล้วรวย ก็จะได้แฟนเพจเป็นผู้ใหญ่หน่อย พอทำ LINE @ และได้เงินจากค่าโฆษณาที่มาลงวันละ 7 หลักได้สักพัก ก็เกิดวิกฤตที่ว่าบริษัท LINE เขาเกิดทำ LINE Official ของตัวเองขึ้นมา เขาจึงห้ามขายโฆษณาใน LINE @ ตอนเดือน ส.ค.2558 โดยทางไลน์ก็แนะนำว่าให้ผมลองทำแบรนด์ของตัวเองดูสิ ผมจึงตัดสินใจนำเงินที่มีทั้งหมดในตอนนั้นไปกว้านซื้อเพจของเพื่อนๆ ที่เคยทำ LINE @ ที่เขากำลังจะเลิกทำไว้ นั่นจึงทำให้ผมถือครองเพจที่เกี่ยวข้องกับ LINE ไว้มากมาย

ต่อมาผมก็ก่อตั้งแบรนด์ตัวเองที่ชื่อว่า Balance Thailand ซึ่งเป็นธุรกิจเกี่ยวกับสินค้าเสริมอาหารและเครื่องสำอางขึ้นมา แล้วนำไปโพสต์โปรโมทในเพจต่างๆ ที่ผมซื้อไว้ ซึ่งแต่ละเพจจะมียอดคนตามเยอะมาก ทีมงานก็รันคอนเทนต์ในเพจต่างๆ ไปเรื่อยๆ ผมจึงได้ค้นพบว่าการที่เราเป็นเจ้าของแบรนด์เองน่ะมันรวยกว่า เพราะสิ้นเดือน ก.ย.2558 ผมมีรายได้ถึง 40 ล้านบาทเลยละ แต่เมื่อเวลาผ่านไป 5 ปี บริษัทก็ได้เติบโตขึ้นมากๆ และด้วยความคิดเห็นของหุ้นส่วนที่ไม่ตรงกัน เลยมีการแยกย้ายกันเกิดขึ้น และผมได้ขายหุ้นทั้งหมดกลับคืนไป เพื่อจบปัญหา”

ในที่สุด ดร.เจล ก็เริ่มสร้างแบรนด์เสริมอาหารและเครื่องสำอางของตัวเองที่ชื่อว่า ‘Dr.JEL’ ซึ่งได้ชื่อมาจากชื่อเล่นของเขาขึ้นเมื่อ ก.ย.2563 ที่ผ่านมา ที่จริงแล้วเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะก่อตั้งแบรนด์ใหม่ซะทีเดียว เพราะทุกวันนี้แค่ดูแลบริหารโรงงานของครอบครัวที่รับผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ต่างๆ กว่า 800 แบรนด์ก็ยุ่งจนไม่มีเวลาว่างแล้ว

“ย้อนกลับไปตอนที่ผมยังทำแบรนด์ Balance Thailand คือตอนนั้นจะมีตัวแทนขายสินค้าที่เข้ามาเพราะเชื่อถือในตัวผมจำนวนมากพอสมควร ทีนี้เมื่อพวกเขารู้ว่าผมขายหุ้นและออกจากธุรกิจเดิม เขาก็อยากจะตามมาเป็นตัวแทนด้วย ผมจึงสร้างแบรนด์ใหม่คือ ‘Dr.JEL’ ขึ้นมา โดยมีสินค้าเสริมอาหารและเครื่องสำอางทั้งของผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งใช้เงินลงทุนของตัวเองกว่า 100 ล้านบาท โดยไม่มีหุ้นส่วนใดๆ

แบรนด์ ‘Dr.JEL’ เป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพของผู้หญิงและผู้ชายตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้าเลย เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมภูมิคุ้มกัน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและบำรุงสุขภาพ ผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักและดูแลผิว ส่วนเครื่องสำอางก็มีทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม และสกินแคร์ที่จะเริ่มค่อยๆ ปล่อยออกมาทีละตัว แล้วในอนาคตเราก็จะอัพเลเวลให้ผลิตภัณฑ์บางอย่างเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการแพทย์ด้วยครับ

ผลิตภัณฑ์ของ ‘Dr.JEL’ ที่ลูกค้านิยม ก็เช่น Hair Tonic Spray Herbal & Vitamin Concentrated ช่วยแก้ปัญหาผมร่วง ผมบาง ทำให้ผมงอกใหม่ ด้วยสมุนไพรเกาหลี 24 ชนิด ใช้ฉีดที่ผมหรือชุบสำลีแต้มที่คิ้วและหนวด เช้า-เย็น ก็ได้, Shizen แคปซูลซอฟต์เจลซึ่งเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ ทานเพื่อเพิ่มภูมิคุ้มกัน ลดภูมิแพ้ และหอบหืด, HULX เสริมอาหารสำหรับท่านชาย ช่วยเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ออกกำลังกายได้ทนทานยิ่งขึ้น, Feona เสริมอาหารสำหรับผู้หญิง ช่วยในเรื่องผิวพรรณ การปรับสมดุลของรอบเดือนและความกระชับ, Massage Oil น้ำมันนวดขยายหลอดเลือดและแก้ปวดเมื่อยสำหรับผู้ชาย เป็นต้น สินค้าส่วนใหญ่เราจะมีฟาร์มออแกนิกส์ที่ปลูกเองทั้งสมุนไพรและถั่งเช่า ที่สำคัญคือทุกผลิตภัณฑ์จะมีงานวิจัยจากห้องแล็บรองรับ และจดทะเบียน อย.อย่างถูกต้องครับ”

ดร.เจล บอกว่า หลังจากเปิดตัวแบรนด์ ‘Dr.JEL’ มาเดือนกว่า ก็เริ่มมีตัวแทนหลายร้อยคน และตัวแทนแต่ละรายก็มีรายได้หลักหลายแสนบาทต่อเดือนด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับตัวแทนแต่ละราย ว่ามีคนติดตามหรือมีลูกค้ามากน้อยแค่ไหน รวมทั้งเทคนิคการขายของแต่ละคนด้วย

“แบรนด์เรามีศูนย์การเรียนรู้ผ่านออนไลน์ที่มีการสอนเกี่ยวกับการตลาดออนไลน์และการยิงแอดฯ ให้ฟรีโดยไม่คิดเงินค่าสอนด้วยครับ ซึ่งตัวแทนแต่ละคนก็จะใช้ Facebook และ Instagram ในการโปรโมทและติดต่อซื้อขายสินค้ากัน ผมมองว่าแบรนด์ ‘Dr.JEL’ จะเติบโตไปได้ไกลกว่านี้อีกมาก นอกจากช่องทางโปรโมททางออนไลน์แล้ว เราจะโปรโมทด้วยการซื้อบิลบอร์ดให้เป็นกิมมิคของแบรนด์ร่วมด้วย และเมื่อเร็วๆ นี้ ผมก็มีโอกาสได้เซ็นสัญญา (MOU) กับ สวทช. (สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ) ในเรื่องการผลิตสินค้าเสริมอาหารทางการแพทย์ด้วยครับ

ในอนาคตตั้งใจว่านอกจากในเมืองไทยแล้ว เราจะบุกตลาด AEC อย่าง กัมพูชา พม่า มาเลเซีย ลาว รวมทั้งตลาดจีนด้วย ซึ่งที่จีนนั้นผลิตภัณฑ์มาส์กหน้าจะขายดีมากๆ เป้าหมายหลักในการทำแบรนด์ ‘Dr.JEL’ ก็คือ ผมต้องการให้ตัวแทนของเราทุกคนมีรายได้ที่ดีสม่ำเสมอและเป็นรายได้ที่ยั่งยืน เพราะเรามีโรงงานผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ เราจึงไม่ต้องบวกกำไรมากมาย แต่จะเป็นราคาต้นทุนจากโรงงานจริงๆ

ปัจจุบันนี้ผมเป็น CEO หรือ กรรมการผู้จัดการ ทั้งหมด 4 บริษัทคือ บริษัท ออกานิกส์ คอสเม่ จำกัด, บริษัท ออกานิกส์ อินโนเวชั่นส์ จำกัด, บริษัท ออกานิกส์ กรีนส์ ฟาร์ม จำกัด และบริษัท ด็อกเตอร์ เจล จำกัด ซึ่งทุกบริษัทผมเป็นเจ้าของเองทั้งหมดเพียงผู้เดียวโดยไม่มีหุ้นส่วน ดังนั้น สินค้าแบรนด์เราทุกชนิดจึงล้วนอยู่ภายใต้ร่มเงาของ 4 บริษัทเหล่านี้ด้วยครับ

หลักในการทำงานของผมคือ ผมจะใช้วิธีแบ่งเวลาการทำงานที่ชัดเจน คือจะมีเลขาฯ คอยจัดตารางส่วนตัวให้ จันทร์-ศุกร์ นี่จะไม่ว่างเลย ส่วนเสาร์-อาทิตย์ ผมจะให้เวลากับการเรียนปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยหอการค้า พูดง่ายๆ ว่าผมยังสนุกกับการทำงานและการเรียนอยู่ครับ แน่นอนว่าการทำงานทุกอย่างต้องมีอุปสรรค ทั้งเรื่องของลูกค้า เรื่องพนักงาน และอื่นๆ แต่ผมจะพยายามมองปัญหาในภาพใหญ่ แล้วจึงค่อยๆ แยกปัญหาออกมาในภาพย่อย จากนั้นจะค่อยๆ แก้ทีละจุดจนปัญหาหมดไป

ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ระบาด เชื่อมั้ยว่าธุรกิจเราไม่ได้รับผลกระทบเลย ในทางกลับกัน ผลประกอบการกลับโตขึ้น 1000% คือผมเรียนด้านเภสัชฯ มา ผมก็จะรู้เรื่องระบาดวิทยาพอสมควร ฉะนั้นเมื่อเดือนธ.ค.2562 ผมจึงบินไปสั่งซื้อ Mask N95 จากญี่ปุ่นเข้ามาล็อตใหญ่เลย ตอนนั้นขายดีมากๆ อีกอย่างผมเริ่มผลิตเจลแอลกอฮอล์เองที่โรงงานตั้งแต่เดือน ม.ค.2563 คือตอนแรกเราทำแจกตามวัด โรงเรียน โรงพยาบาล กระทรวงต่างๆ โดยแจกให้ฟรีจนถึงเดือน มี.ค.2563 แม้แต่ตู้ป้องกันโควิดผมก็ทำไปให้บางองค์กรฟรีด้วย ตอนนั้นลูกค้าเจ้าแรกของโรงงานเราจะเป็นร้านขายยาแห่งหนึ่งในภูเก็ต ที่มาจ้างให้เราผลิตเจลแอลกอฮอล์เพื่อส่งออกไปยังจีน ต่อมาก็มีบริษัทต่างๆ มาจ้างให้โรงงานของเราผลิตเจลแอลกอฮอล์กันมากมาย ซึ่งล้วนแต่เป็นแบรนด์ใหญ่ๆ ชื่อดัง ก็มีมาจ้างเราผลิตทั้งหมดเลยครับ”

ดร.เจล เสริมว่า ด้วยความที่เขาเป็นทั้งที่ปรึกษาและผู้รับผลิตสินค้าให้กับลูกค้าซึ่งมีมากถึง 800 กว่าแบรนด์ เขาจึงเห็นความเป็นมาเป็นไปและการทำตลาดของแต่ละแบรนด์มาโดยตลอด ในฐานะที่ตัวเขาเองก็เป็นอาจารย์สอนด้านดิจิทัล มาร์เก็ตติ้ง ในหลายมหาวิทยาลัย เป็นผู้จัดสัมมนาด้านการตลาด รวมทั้งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิของคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยบูรพาด้วย เขาจึงมีความรู้ด้านการตลาดออนไลน์ที่สามารถให้คำแนะนำที่ได้ผลดีเลิศกับลูกค้าได้

“เป้าหมายที่ผมตั้งไว้ในอนาคตก็คือ ผมอยากจะนำแบรนด์ด็อกเตอร์เจล (Dr.Jel) เข้าไปอยู่ในตลาดหลัก ทรัพย์ให้ได้ครับ ซึ่งธุรกิจที่จะสามารถเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้นั้นต้องมีทุนจดทะเบียนไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งของเราก็มีมูลค่าเกินร้อยล้านอยู่แล้ว และในอนาคตอันใกล้นี้ผมยังมองการลงทุนในธุรกิจ Production House สำหรับถ่ายทำภาพยนตร์ ถ่ายคลิปโฆษณา และการตัดต่อไว้ด้วย เพราะที่ผ่านมาผมมี Fanpage Facebook ในมือ 40-50 เพจได้ แต่ละเพจก็มีคนติดตามหลักล้าน นอกจากนี้ยังมีช่อง Youtube : Doctor JEL ที่ผมเพิ่งเปิดไว้ ซึ่งเนื้อหาหลักๆ คือการให้ความรู้เรื่องสุขภาพ แต่ละคลิปก็มีคนกดเข้าไปชมหลักแสนวิว อาทิ คลิปเกี่ยวกับการจัดกระดูก ไคโรแพรคติก ไลฟ์สไตล์ ของกิน และความรู้ต่างๆ เป็นต้น

และในเดือน พ.ย.นี้ บริษัทเราได้ร่วมมือกับ สวทช. วางจำหน่ายสินค้าเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักด้วย โดยใช้ชื่อแบรนด์ Dr.JEL นี่แหละครับ การที่ สวทช.จะมาเซ็นสัญญากับบริษัทเรา เขาต้องดูจากปัจจัยหลายอย่าง เช่น ใครคือเจ้าของธุรกิจ มายด์เซ็ตเป็นอย่างไร โรงงานผลิตมีมาตรฐานมั้ย มีความน่าเชื่อถือขนาดไหน ซึ่งที่ผ่านมาเรามีลูกค้ารายใหญ่ๆ อยู่แล้ว ดังนั้น สวทช.จึงมั่นใจในบริษัทเรา เขาจึงตัดสินใจมาร่วมลงทุนด้วย สิ่งสำคัญอีกอย่างคือ โรงงานของเราเป็น 1 ใน 5 โรงงานในประเทศไทย ที่สามารถวิจัยและผลิตสินค้าเสริมอาหารทางการแพทย์ได้นั่นเอง”

อัพเดตข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.doctorjel.co.th หรือ http://www.facebook.com/jel.rx และช่อง Youtube : Doctor JEL