รู้มั้ยว่าปัจจุบันนี้มีผู้ป่วยด้วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ที่มีอายุต่ำกว่า 60 ปีมีจำนวนเพิ่มขึ้น ซึ่งบ่งบอกว่าอายุอาจไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้อีกต่อไป จากนี้โรคหลอดเลือดสมองเป็นโรคที่คนทุกวัยควรระวัง เพราะแม้แต่ผู้สูงอายุ คนวัยทำงาน หรือวัยรุ่น ก็อาจมีความเสี่ยงในการเกิดโรคนี้ด้วยสาเหตุที่ต่างกัน
ครั้งนี้เราจึงนำข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับโรคหลอดเลือดสมอง จากโรงพยาบาลกรุงเทพ มาฝาก เพื่อคุณผู้อ่านจะได้รู้เร็ว รักษาเร็ว และหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดอาการอัมพาต ซึ่งมีสาเหตุมาจากโรคนี้โดยตรง ทุกคนจะได้ใช้ชีวิตกันแบบอยู่ดีมีสุขและมีอายุที่ยืนยาวมากขึ้น
โรคหลอดเลือดสมอง แบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลักๆ คือ
1.หลอดเลือดในสมองอุดตัน (Embolic Stroke)
สาเหตุ 80% เกิดจากลิ่มเลือดที่ก่อตัวในเส้นเลือดนอกสมอง เช่น ที่หัวใจ ลอยตามกระแสเลือดไปอุดตันที่หลอดเลือดเล็กๆ ในสมอง
2.หลอดเลือดในสมองตีบ (Cerebral Thrombosis)
สาเหตุ 80% เกิดจากลิ่มเลือดก่อตัวขึ้นจากผนังหลอดเลือดสมองที่มีคราบไขมันเกาะจนแข็ง ทำให้หลอดเลือดสมองตีบ แคบลง จนอุดตันในที่สุด
3.เลือดออกในสมอง (Hemorrhagic Stroke)
สาเหตุ 20% เกิดจากเลือดออกภายในสมอง ซึ่งเลือดที่ไหลออกมาทำให้เกิดแรงกดเบียดต่อเนื้อสมอง และทำลายเนื้อเยื่อสมอง
วิธีสังเกตอาการโรคนี้ มีชื่อเรียกโดยรวมว่า F.A.S.T ดังนั้น หากพบอาการใดอาการหนึ่งดังต่อไปนี้ ควรรีบนำผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
F-Face Drooping หรืออาการปากเบี้ยว ยิ้มแล้วมุมปากตก ปวดศีรษะรุนแรง ล้มแล้ววูบไป
A-Arm Weakness อาการแขนขาอ่อนแรง และเดินเซ
S-Speech Difficulty พูดไม่ชัด พูดลำบาก หรือพูดไม่เป็นคำ
T-Time โทรเรียกรถพยาบาล แล้วรีบนำตัวผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลทันที
จำไว้ว่า ‘เวลา’ คือปัจจัยสำคัญที่สุดในการรักษาโรคนี้ หากสังเกตเห็นอาการ F.A.S.T ควรรีบนำผู้ป่วยส่งให้ถึงมือแพทย์เฉพาะทางด้าน Stroke เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย ก็จะช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิต และลดความเสี่ยงในการเป็นอัมพาต เพราะหากสมองเราขาดเลือดเพียง 1 นาที จะทำให้เซลล์สมองตายลงประมาณ 1 ล้านเซลล์
ใครบ้างที่มีความเสี่ยงต่อโรคนี้
-ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง มีไขมันในเลือดสูง หรือโรคเบาหวาน
-คนที่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ หรือผู้ที่หลอดเลือดคอตีบแคบ
-โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคของลิ้นหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และภาวะหัวใจโต
-ผู้ที่น้ำหนักเกินหรืออ้วน คนที่นอนกรนหรือหยุดหายใจขณะนอนหลับ
-คนที่มีการใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจน
-ประวัติครอบครัวมีโรคหัวใจและหลอดเลือด
-กีฬาหรืออุบัติเหตุที่มีการบิดหรือสะบัดคอแรงๆ จนทำให้หลอดเลือดบริเวณคอฉีกขาด
ตัวเลขสำคัญในการรักษาผู้ป่วยโรคนี้
1.มาถึงโรงพยาบาลภายใน 4 ชม.ครึ่ง หลังเกิดอาการ แพทย์จะให้ยาสลายลิ่มเลือด rtPA ทางหลอดเลือดดำในคนไข้ที่มีภาวะสมองขาดเลือดจากหลอดเลือดอุดตันขนาดเล็กและไม่พบภาวะเลือดออกในสมอง จะช่วยให้เลือดไปเลี้ยงสมองได้ทันท่วงที
2.มาถึงโรงพยาบาลช้ากว่า 4 ชม.ครึ่ง แต่ไม่เกิน 24 ชม.หลังเกิดอาการ และแพทย์วินิจฉัยแล้วว่าเซลล์สมองยังไม่ตาย สามารถรักษาโดยการใส่สายสวนหลอดเลือดแดง เพื่อเปิดหลอดเลือดที่อุดตันขนาดใหญ่ โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ
สำหรับวิธีการรักษา แพทย์จะใช้เทคโนโลยีในการตรวจวินิจฉัยและรักษาโรคหลอดเลือดสมอง หากผลการตรวจพบว่า คนไข้มีเส้นเลือดอุดตันขนาดใหญ่ แพทย์จะฉีดสารทึบรังสีเพื่อหาตำแหน่งหลอดเลือดที่อุดตัน และใช้ BIPLANE DSA ดึงลิ่มเลือดออกจากสมองด้วยวิธีผ่าตัดแผลเล็ก (Minimal Invasive) โดยการใส่สายสวนที่ขาหนีบ แล้วดูดหรือนำลวดหรือตะแกรงเข้าไปเกี่ยวลิ่มเลือดที่อุดตัน เพื่อเป็นการเปิดหลอดเลือดสมองให้เลือดไหลไปเลี้ยงสมอง โดยไม่ต้องผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ
แต่เนื่องจากหลอดเลือดสมองมีความบอบบางมาก การรักษาจึงต้องทำด้วยความระมัดระวัง โดยทีมแพทย์รังสีร่วมรักษาระบบประสาทที่มีความชำนาญเฉพาะทาง
การฟื้นตัวหลังการรักษาของผู้ป่วย หากทำตั้งแต่อยู่ในห้องไอซียูหรือระยะเฉียบพลัน ก็จะช่วยให้ผู้ป่วยมีการฟื้นตัวด้านสมองและกำลังของกล้ามเนื้อได้เร็วขึ้น และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่างๆ อาทิ ภาวะกล้ามเนื้ออ่อนแรง เสมหะอุดกั้นทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อทางปอด โรคลิ่มเลือดอุดตันในเส้นเลือดดำ เป็นต้น โดยฟื้นฟูกำลังกล้ามเนื้อแขนขา การทรงตัว การกลืน การขับถ่าย การทำกิจวัตรประจำวัน การฝึกพูด การหายใจ กระบวนการรับรู้ ความคิดและความจำ การฟื้นฟูภาวะซึมเศร้า และปัญหาด้านสภาพจิตใจร่วมด้วย
การป้องกันโรคหลอดเลือดสมอง
เนื่องจากโรคหลอดเลือดสมองไม่เลือกเพศหรือวัย และผู้ที่เคยเป็นแล้ว อาจมีโอกาสเป็นซ้ำอีกได้ หากมีปัจจัยเสี่ยง ดังนั้น ควรดูแลสุขภาพ เช่น กินอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อไม่ให้น้ำหนักเกินมาตรฐาน ตรวจร่างกายประจำปี วัดความดัน ตรวจเช็กภาวะเบาหวานและคลื่นหัวใจ
ถ้าในครอบครัวไหนมีสมาชิกป่วยเป็นโรคหลอดเลือดแดงโป่งพอง โรคหัวใจขาดเลือด โรคอัมพฤกษ์อัมพาต ก็อาจมีความเสี่ยงในระดับนึง ฉะนั้นการตรวจอัลตร้าซาวนด์หลอดเลือดที่คอ เพื่อดูว่ามีคราบไขมันจับหรือหลอดเลือดตีบหรือไม่ ถือเป็นการป้องกันโรคหลอดเลือดสมองให้ห่างไกลจากตัวเราได้ดีพอสมควร