Thursday 25 April 2024 | 12 : 03 pm

รู้ทัน ป้องกัน ‘ไข้เลือดออก’ นักฆ่าในหน้าฝน

รู้เท่า รู้ทัน ไข้เลือดออก นักฆ่าที่มาในหน้าฝน สังเกตอาการ วิธีป้องการ การรักษา เป็นแล้วเป็นอีกได้หรือไม่ หมอรามาฯ มีคำตอบ

โรคไข้เลือดออกเกิดจากการติด “เชื้อไวรัสเดงกี” ซึ่งมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ คือสายพันธุ์ 1, 2, 3 และ 4 การระบาดมักเกิดในช่วงฤดูฝน โดยมียุงลายเป็นพาหะนำโรค ซึ่งในอดีตจะพบผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกมากในวัยเด็ก แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา พบว่า กลุ่มอายุผู้ป่วยที่เป็นโรคไข้เลือดออกได้ขยายไปยังกลุ่มวัยรุ่น และผู้ใหญ่วัยทำงานมากขึ้น ทำให้ปัจจุบันตัวเลขของผู้ป่วยโรคไข้เลือดออก มีแนวโน้มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ผศ.ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล

อาการของโรคไข้เลือดออก

อาการและความรุนแรงของโรคไข้เลือดออกที่เกิดขึ้นในวัยเด็กและผู้ใหญ่นั้นไม่ต่างกันมาก เนื่องจากอายุไม่ได้เป็นตัวชี้ชัดแน่นอน แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เช่น ความรุนแรงที่ต่างกันของแต่ละสายพันธุ์ รวมไปถึงพันธุกรรมของแต่ละคนที่ไม่เหมือนกัน แม้จะป่วยเป็นโรคไข้เลือดออกสายพันธุ์เดียวกัน ก็มีอาการความรุนแรงไม่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่เป็นไข้เลือดออกจะมาด้วยอาการเบื้องต้นที่เหมือนกันดังนี้

– มีไข้สูงเฉียบพลันเกิน 38 องศาเซลเซียส

– ปวดเมื่อยตามตัว บางรายปวดไปถึงกระดูก

– คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร

– มีเลือดออกที่ผิวหนัง เป็นจุดเลือดเล็กๆ กระจายอยู่ตามแขน ขา ลำตัว รักแร้

– มีเลือดกำเดา หรือเลือดออกตามไรฟัน

– เกร็ดเลือดต่ำ

– อุจจาระเป็นเลือด

ระยะของไข้เลือดออก

ไข้เลือดออกสามารถแบ่งได้ 3 ระยะด้วยกันคือ ระยะไข้สูง เป็นช่วงที่ไม่อันตรายเท่าไร แต่อาจทำให้ผู้ป่วยอ่อนเพลีย หมดแรง อาเจียน รับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่เมื่อผ่านระยะไข้สูงแล้วจะเข้าสู่ ระยะฟื้นตัว ที่ร่างกายจะค่อยๆ แข็งแรงขึ้น จนกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่จะมีผู้ป่วยส่วนน้อยที่เข้าสู่ ระยะวิกฤต ซึ่งเป็นช่วงที่เป็นอันตรายที่สุดโดยเป็นช่วงที่ผู้ป่วยมีไข้สูงและไข้ลดลง แล้วมีอาการช็อกตามมา

วิธีการรักษา

สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งมีไข้ แนะนำให้พักผ่อนมากๆ ดื่มน้ำ รับประทานอาหารอ่อนๆ สามารถรับประทานยาพาราเซตามอลได้ ไม่ควรรับประทานยาไอบูโพรเฟน หรือแอสไพริน หากผู้ป่วยมีไข้ได้ประมาณ 3-4 วันแล้วไม่ลด แพทย์จะทำการเจาะเลือดเพื่อตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคไข้เลือดออกหรือไม่ หากเจาะเลือดแล้วพบว่าเกร็ดเลือดต่ำ แพทย์จะแนะนำให้นอนโรงพยาบาลเพื่อรับน้ำเลือดและติดตามสัญญาณชีพอย่างใกล้ชิด เพราะผู้ป่วยอาจเข้าสู่ระยะวิกฤตได้ ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสเดงกีโดยเฉพาะ

เป็นแล้วกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่

อย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าโรคไข้เลือดออกมีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ เพราะฉะนั้นคนหนึ่งคนสามารถเป็นไข้เลือดออกได้ถึง 4 ครั้ง เช่น หากเคยเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 แล้วหาย ร่างกายจะมีภูมิต้านทานไข้เลือดออกสายพันธุ์ที่ 1 ซึ่งจะไม่กลับมาเป็นซ้ำอีก แต่ก็มีโอกาสที่จะเป็นไข้เลือดออกสายพันธุ์อื่นๆ ที่เหลือได้ ซึ่งผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นโรคไข้เลือดออกครั้งแรกนั้น อาการจะไม่รุนแรงมาก แต่หากได้รับการติดเชื้อเป็นครั้งที่ 2 อาการของผู้ป่วยบางรายจะมีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น แต่ก็พบได้กับคนส่วนน้อยเท่านั้น

วิธีการป้องกัน

เนื่องจากไข้เลือดออกมีสาเหตุมาจากยุงลายเป็นพาหะนำโรค ดังนั้น ควรกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลายในบ้านและชุมชน ด้วยการปิดฝาภาชนะที่มีน้ำขังให้มิดชิด ไม่ให้ยุงเข้าไปวางไข่ได้ เปลี่ยนน้ำในภาชนะทุกสัปดาห์ ดูแลความสะอาดปรับสภาพแวดล้อมบริเวณบ้านให้ปราศจากภาชนะที่มีน้ำขังได้ เช่น ยางรถยนต์ จาน ชามเก่าที่วางทิ้งไว้ เป็นต้น

ข้อมูลจาก ผศ.ดร.นพ.นพพร อภิวัฒนากุล สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์

คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล

คลิกชมรายการได้ที่ : https://youtu.be/9gBWTJSU9CY

สำนักงานสลากฯ เปิดตัว โครงการ SEED PROJECT ปี 4 ‘สร้างผู้นำเยาวชน พาท้องถิ่นสู่สากล’

พันโท หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือ จีแอลโอ เดิน...