Wednesday 10 December 2025 | 11 : 42 am

BDMS Wellness Clinic เดินหน้าขยายเครือข่ายสุขภาพสู่ตะวันออกกลาง เสริมพลังความร่วมมือระดับสากล ปักหมุดไทยสู่ Wellness Hub ระดับโลก ที่สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันในเครือบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) ได้รับเกียรติจาก นางสาววารุณี ปั้นกระจ่าง เอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน เพื่อหารือแนวทางสานต่อความร่วมมือด้านสุขภาพระหว่างไทยและโอมาน ภายใต้แนวคิด “Health Vision 2050” ณ สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงมัสกัต รัฐสุลต่านโอมาน ซึ่งเป็นวิสัยทัศน์ระยะยาวด้านระบบสุขภาพของโอมานในมิติที่สำคัญ ทั้งด้านการเงินสุขภาพ การพัฒนาทรัพยากรบุคคล การให้บริการทางการแพทย์ เทคโนโลยี และผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ ซึ่งสอดคล้องกับพันธกิจและวิสัยทัศน์ Wellness Hub Thailand ของนายแพทย์ตนุพล ในการผลักดัน Wellness Tourism ของไทยสู่ระดับสากล พร้อมผลักดันประเทศไทยให้เป็น Wellness Hub ระดับโลก

Wealthy but Unhealthy: ความร่ำรวยอย่างเดียว อาจไม่ตอบโจทย์? เมื่อโอมานกำลังเผชิญความท้าทายจาก NCDs ในสังคมผู้สูงวัย

โอมานนับเป็นหนึ่งในตลาดศักยภาพสูงของภูมิภาคตะวันออกกลางที่มีอัตราการเติบโตโดดเด่น ทั้งในด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมสุขภาพ สะท้อนจากข้อมูลของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ณ เดือนพฤษภาคม 2568 ซึ่งระบุว่า กลุ่มประเทศความร่วมมือรัฐอ่าวอาหรับ (GCC) มี GDP รวมสูงถึง 2.16 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 44.51% ของ GDP ทั้งภูมิภาคตะวันออกกลาง และ 1.89% ของ GDP โลก พร้อมจำนวนประชากร 62.47 ล้านคน และมีรายได้เฉลี่ยต่อหัวอยู่ในระดับสูงติดอันดับต้น ๆ ของภูมิภาค ด้วยศักยภาพทางเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่แข็งแกร่ง รวมถึงความต้องการบริการสุขภาพคุณภาพระดับพรีเมียมที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แม้โอมานจะเป็นหนึ่งในประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งและมีรายได้ต่อบุคคลสูง แต่ประชากรยังคงเผชิญความท้าทายด้านสุขภาพ โดยเฉพาะโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ซึ่งถือเป็นปัญหาหลัก โดยข้อมูลจาก World Health Organization หรือ WHO เผยว่า กว่า 80% ของผู้เสียชีวิตในประเทศโอมาน เกิดจากโรค NCDs คิดเป็นประมาณ 13,000 รายต่อปี หรือ เฉลี่ย 1.5 รายต่อชั่วโมง โดยโรคที่มีอัตราการเสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ โรคหลอดเลือดหัวใจ โรคมะเร็ง โรคเบาหวาน และโรคทางเดินหายใจเรื้อรังตามลำดับ

โรคอ้วนในโอมาน: ประเด็นสุขภาพสาธารณะที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตสมัยใหม่

ท่ามกลางสถานการณ์ที่ประชากรโอมานกำลังเผชิญความท้าทายด้านสุขภาพที่ซับซ้อนขึ้นจากภาระโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลก (WHO) สะท้อนภาพที่ชัดเจนถึงบทบาทของ “ภาวะอ้วน” ซึ่งไม่ใช่เพียงเป็นประเด็นด้านรูปลักษณ์ภายนอก หากแต่เป็นจุดตั้งต้นสำคัญของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังหลากหลายชนิดดังที่ได้กล่าวไปข้างต้น โดย ณ ปัจจุบัน พบว่าชาวโอมานกว่า 66.9% หรือราว 3,328,275 คน อยู่ในภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำคัญที่ชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการเสริมสร้างระบบสุขภาพเชิงป้องกันเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและสร้างอนาคตสุขภาพที่มั่นคงให้กับประเทศ

นายแพทย์ ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก และ บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาวะอ้วนเพิ่มสูงขึ้นในหมู่ประชาชนชาวโอมาน มาจากการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตในยุคปัจจุบันอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการบริโภคที่เน้นความสะดวกและรวดเร็ว การรับประทานอาหารที่มีพลังงานสูง การเคลื่อนไหวของร่างกายที่ลดลงจากการมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมายในชีวิตประจำวัน ตลอดจนชั่วโมงการทำงานที่ยาวนานซึ่งทำให้เวลาสำหรับการดูแลตนเองลดน้อยลง ปัจจัยเหล่านี้ได้ค่อย ๆ หล่อหลอมจนเกิดภาวะน้ำหนักเกิน ซึ่งกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่ทวีความรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง การเกิดโรคอ้วนจึงเป็นสัญญาณเตือนที่ชัดเจน ให้ทุกคนตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม เพื่อลดความเสี่ยงของโรคไม่ติดต่อเรื้อรังและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีในระยะยาว”

“การดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน หรือ Proactive Healthcare จึงมีบทบาทสำคัญยิ่งในยุคปัจจุบัน ซึ่งไม่เพียงช่วยให้เราตรวจพบความเสี่ยงและป้องกันโรคตั้งแต่เนิ่น ๆ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการปรับวิถีชีวิตให้สมดุล ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการรักษา และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนอย่างยั่งยืน ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมการดูแลตนเองเชิงรุกที่สามารถป้องกันการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในระยะยาว และสนับสนุนให้ระบบสุขภาพของประเทศมีความยืดหยุ่น แข็งแรง และพร้อมรับมือกับความท้าทายด้านสุขภาวะในอนาคต” นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติม

เศรษฐกิจ Wellness: ขุมทรัพย์ล้ำค่าของประเทศไทย สู่การขับเคลื่อนการเติบโตของ GDP ด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ

เมื่อพูดถึงการดูแลสุขภาพเชิงป้องกัน หนึ่งในแนวโน้มที่กำลังได้รับความนิยมและมีบทบาทสำคัญระดับโลก คือ ‘เศรษฐกิจสุขภาพ’ (Wellness Economy) ซึ่งเน้นการลงทุนและการพัฒนาบริการที่ส่งเสริมสุขภาพร่างกาย จิตใจ และคุณภาพชีวิตโดยรวม โดยอ้างอิงจากข้อมูลล่าสุดของ Global Wellness Institute (GWI) พบว่า เศรษฐกิจเวลเนสทั่วโลกมีอัตราการเติบโตสูงถึง 7.6% ต่อปีในช่วงปี 2024–2029 โดยในบรรดาภาคส่วนของเศรษฐกิจเวลเนส การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างโดดเด่น โดยอยู่ในอันดับที่ 5 รองจากภาคส่วนสำคัญอื่น ๆ ได้แก่ อสังหาริมทรัพย์เชิงสุขภาพ (Wellness Real Estate) การแพทย์แผนโบราณและการแพทย์ทางเลือก (Traditional & Complementary Medicine) การดูแลสุขภาพจิต (Mental Wellness) และ การบำบัดด้วยน้ำแร่และน้ำพุร้อนธรรมชาติ (Thermal & Mineral Springs Therapy)

สำหรับประเทศไทย ถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางสำคัญของนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาเพื่อ การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ด้วยบริการด้านสุขภาพต่าง ๆ ที่ตอบโจทย์การพักผ่อนผสานกับการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม และประสบการณ์ด้านสุขภาพในมิติที่หลากหลาย ตั้งแต่การตรวจสุขภาพเชิงป้องกัน การฟื้นฟูร่างกายหลังเจ็บป่วย การรักษาเฉพาะทาง ไปจนถึงการพักผ่อนเชิง Wellness ที่ผสมผสานศาสตร์การแพทย์ไทยและแพทย์แผนปัจจุบัน เข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม พร้อมทั้งโอบล้อมด้วยทิวทัศน์และธรรมชาติอันงดงามในประเทศไทย อย่างภูเขา ทะเล และแม่น้ำ สร้างบรรยากาศผ่อนคลายที่เอื้อต่อการฟื้นฟูร่างกาย จิตใจและจิตวิญญาน ทำให้ผู้มาเยือนได้รับประสบการณ์ที่ส่งเสริมสุขภาพครบมิติที่หลากหลาย

ด้วยเหตุนี้ การให้ความสำคัญกับบริการที่มุ่งส่งเสริมสุขภาพจึงกลายเป็นปัจจัยดึงดูดความสนใจจากทั้งประชากรในประเทศและนักท่องเที่ยวต่างชาติอย่างต่อเนื่อง โดยศักยภาพและความได้เปรียบทางด้านต่าง ๆ ของประเทศไทย ไม่เพียงแค่เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ช่วยส่งเสริมสุขภาพให้กับนักท่องเที่ยวทั่วโลก แต่ยังเสริมสร้างรายได้และการเติบโตของ GDP ในภาคการท่องเที่ยว และยังสะท้อนถึงศักยภาพของไทยในการต่อยอดสู่การเป็นศูนย์กลาง Wellness Hub ในระดับโลก ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ Health Vision 2050 ของโอมาน ที่สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสใหม่ในการพัฒนาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ Wellness ระหว่างสองประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการมอบบริการสุขภาพ การสนับสนุนทางการแพทย์ และการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ซึ่งไทยสามารถตอบโจทย์ได้ด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางการแพทย์ที่ทันสมัย บริการสุขภาพและ Wellness มาตรฐานสากล ชื่อเสียงด้าน Hospitality ที่ได้รับการยอมรับในวงกว้าง รวมถึงโรงพยาบาล คลินิกด้านการดูแลสุขภาพระดับลักชัวรี และความชำนาญการด้าน Holistic & Preventive Healthcare ทำให้ไทยก้าวขึ้นมาเป็นพันธมิตรสำคัญในการขับเคลื่อนระบบสุขภาพสมัยใหม่ของโอมานอย่างเป็นรูปธรรม