Tuesday 11 February 2025 | 6 : 04 pm

BDMS Wellness Clinic ดันประเทศไทยสู่ท็อป 5 ชูไทยเป็นศูนย์กลาง Wellness Hub ระดับโลก

บีดีเอ็มเอส เวลเนส คลินิก (BDMS Wellness Clinic) ศูนย์สุขภาพเชิงป้องกันของประเทศไทย นำโดย นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) สานต่อความมุ่งมั่นในการสร้าง “แลนด์มาร์ก Wellness Hub Thailand” ศูนย์กลางการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันแบบองค์รวม ชวนทุกคนผนึกกำลังเป็น #TeamThailand ชู 5 จุดเด่นประเทศไทย ประกอบด้วยความงดงามของธรรมชาติ เสน่ห์ของอาหารไทยและสมุนไพรไทย การบริการที่เปี่ยมไปด้วยเอกลักษณ์ การแพทย์แผนไทย และการเป็นศูนย์กลางสุขภาพที่ผู้คนทั่วโลกยอมรับ พร้อมยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพระดับโลก สอดรับเทรนด์ธุรกิจสุขภาพ ที่โตเฉลี่ยกว่า 7.3% ทั่วโลกทุกปี

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าในยุคปัจจุบัน เทรนด์การดูแลสุขภาพ หรือ เวลเนส (Wellness) ได้กำลังเติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด จนกลายมาเป็นเทรนด์ที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่หันมาให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกาย การเลือกทานอาหารเพื่อสุขภาพ และการให้ความสำคัญกับการรักษาสมดุลในชีวิตประจำวัน (Work-life balance) ในขณะเดียวกัน การดูแลสุขภาพเชิงป้องกันก็ได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน

แล้วปัจจัยใดบ้าง ที่ส่งผลให้เทรนด์การดูแลสุขภาพเติบโตขึ้นเช่นนี้ ? วันนี้ BDMS Wellness Clinic จะพาคุณมาหาคำตอบไปด้วยกัน

เมื่ออายุขัยเพิ่มสูงขึ้น เราจึงอยากมีสุขภาพดีจนวันสุดท้ายของชีวิต

ความก้าวหน้าทางการแพทย์ ช่วยยืดอายุขัยของมนุษย์ (Lifespan) ให้ยืนยาวขึ้นกว่าในอดีต โดยในช่วงระยะเวลา 10 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2543 – 2562 อายุขัยเฉลี่ยของประชากรโลกเพิ่มขึ้นจาก 66.8 ปี เป็น 73.4 ปี หรือเพิ่มขึ้นมากถึง 6.6 ปี แต่ในขณะเดียวกัน อายุขัยสุขภาพ (Health Span) หรือระยะเวลาที่ร่างกายและจิตใจยังคงสมบูรณ์แข็งแรง กลับเฉลี่ยอยู่ที่ 63.7 ปีเท่านั้น กล่าวคือ  มนุษย์ส่วนใหญ่จะต้องเผชิญกับอาการเจ็บป่วยหรือความเสื่อมของร่างกายเกือบ 10 ปีก่อนที่จะเสียชีวิต

อายุขัยที่เพิ่มขึ้นของมนุษย์ ส่งผลให้โลกกำลังเผชิญหน้ากับการเติบโตของสังคมผู้สูงอายุ รวมถึงประเทศไทยที่ก้าวเข้าสู่ช่วงสังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์ (Aged Society) ซึ่งเป็นสภาวะที่มีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไป มากกว่า 20% จึงทำให้คนรุ่นใหม่หันมาตระหนักเรื่องการดูแลสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะด้านการป้องกันก่อนเกิดโรค เพื่อให้ชีวิตยืนยาวอย่างมีคุณภาพ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้คนทั่วโลก รวมถึงประชากรชาวไทยหันมาใส่ใจสุขภาพ คืออัตราการเกิดโรค Non-Communicable Disease (NCDs) หรือโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทั่วโลก โดยในปี  พ.ศ.2565 ตัวเลขของผู้ป่วยที่เสียชีวิตด้วยโรคไม่ติดต่อเรื้อรังในประเทศไทยมีจำนวนสูงถึง 380,400 คนต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 44 คน หรือคิดเป็น 77% ของประชากรไทยทั้งหมด

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ หรือ คุณหมอแอมป์ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง หรือโรค NCDs อย่างโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคเส้นเลือดสมองตีบ/แตก โรคมะเร็ง และโรคไม่ติดต่อเรื้อรังอื่น ๆ ไม่เพียงแค่สร้างความทุกข์ทรมานทั้งทางกายและทางใจจากอาการเจ็บป่วยให้กับผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเพิ่มอัตราเสี่ยงในการเสียชีวิตเมื่อเกิดเหตุการณ์โรคระบาดอีกด้วย เช่น การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่แสดงถึงผลกระทบที่เกิดจากโรค NCDs อย่างชัดเจน โดยผู้ป่วยที่มีโรคความดันโลหิตสูงมีความเสี่ยงในการเจ็บป่วยรุนแรงและเสียชีวิตมากกว่าคนที่มีสุขภาพดีถึง 2 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคเบาหวานมีความเสี่ยงสูงถึง 3 เท่า ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) เสี่ยงมากถึง 4 เท่า และผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีความเสี่ยงมากที่สุด โดยมีความเสี่ยงเสียชีวิตมากถึง 7 เท่า”

“ปัญหาโรคอ้วนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของภาพลักษณ์ภายนอกเท่านั้น แต่ยังเป็นสัญญาณของความเสี่ยงที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว ปัจจุบันประชากรชาวไทยกำลังเผชิญกับปัญหาโรคอ้วนและน้ำหนักเกินสูงถึง 48.3% การหันมาดูแลสุขภาพและควบคุมโรคอ้วนจึงกลายเป็นเรื่องที่ผู้คนควรหันมาให้ความสำคัญมากขึ้น เพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต” นายแพทย์ตนุพล กล่าวเพิ่มเติม

ธุรกิจ Wellness โอกาสโตเฉลี่ย 7.3% ทั่วโลก สะท้อนไลฟ์สไตล์การดูแลสุขภาพที่เปลี่ยนไป 

ผลการวิจัยจาก Global Wellness Institute (GWI) เผยว่าในปี พ.ศ. 2566 ธุรกิจเกี่ยวกับสุขภาพมีมูลค่าสูงถึง 6.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าในปี พ.ศ.2571 มีมูลค่าสูงขึ้นเป็น 9 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือเติบโตเฉลี่ยปีละ 7.3% สูงกว่า GDP โลกซึ่งอยู่ที่ 4.8%

ทั้งนี้ภาคธุรกิจในกลุ่ม Wellness ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ Wellness Real Estate (เติบโตเฉลี่ย 15.8%) Mental Wellness (12.2%) และ Wellness Tourism (10.2%) ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยมากกว่า 10% สะท้อนให้เห็นถึงความสนใจที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคที่ใส่ใจทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตและการผสมผสานการดูแลสุขภาพเข้าสู่ชีวิตประจำวันรวมถึงการท่องเที่ยว นอกจากนี้ ตัวเลขดังกล่าวยังสะท้อนให้เห็นว่า ผู้บริโภคให้ความสำคัญกับเรื่องสุขภาพมากขึ้น จนทำให้ภาคธุรกิจและผู้ประกอบการตอบรับเทรนด์นี้อย่างรวดเร็ว

การเติบโตของเทรนด์ Wellness ในปัจจุบัน ถือเป็นโอกาสทองของผู้ประกอบการทั่วโลกในการพัฒนาธุรกิจให้สอดคล้องกับความต้องการด้านการดูแลสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ซึ่งไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง แต่หมายถึงการดูแลสุขภาพในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นการดูแลสุขภาพร่างกาย ไปจนถึงการดูแลสุขภาพจิตใจ

Wellness Tourism: สุขกาย สบายใจ กับการท่องเที่ยวที่มากกว่าการเยี่ยมชม Tourist Spots 

การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ หรือ Wellness Tourism คือการท่องเที่ยวที่มากกว่าการไปเยี่ยมเยียนสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่เต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะเป็นการท่องเที่ยวที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสริมสุขภาพแบบองค์รวม ตั้งแต่สุขภาพกาย สุขภาพใจ รวมถึงส่งเสริมจิตวิญญาณ

จากข้อมูลของ Global Wellness Institute (GWI) ซึ่งเริ่มเก็บข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพตั้งแต่ปี        พ.ศ.2555 พบว่าการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง โดยในปี พ.ศ. 2562 มูลค่าตลาดของการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเติบโตสูงถึง 6.9 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเติบโตเร็วกว่าผลรวมของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวโดยรวมถึง 50% ก่อนที่การท่องเที่ยวจะหยุดชะงักลงจากสถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด 19 ในปี พ.ศ. 2563 และเมื่อมีการผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทาง การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้กลับมาเติบโตอีกครั้ง โดยในคราวนี้มูลค่าตลาดพุ่งขึ้นไปสูงถึง 8.3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2566 และคาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 10.2% ต่อปี โดยมีมูลค่าสูงถึง 1.35 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐในปี พ.ศ. 2571

ในส่วนของประเทศไทย เราถือเป็นหนึ่งในจุดหมายปลายทางยอดนิยมด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต่างปรารถนาที่จะมาเยี่ยมเยียน ด้วยศักยภาพด้านทรัพยากรธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ อาหารที่หลากหลายและสมุนไพรเมืองร้อน การให้บริการที่เปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ของความเป็นไทย การแพทย์แผนไทยที่เป็นเอกลักษณ์ ตลอดจนเทคโนโลยีด้านการแพทย์ที่ทันสมัย ซึ่งช่วยผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ (Medical Hub) ที่มีชื่อเสียงทั่วโลก

ขนาดของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของประเทศไทยในปี พ.ศ.2566 มีมูลค่าสูงเป็นอันดับที่ 15 ของโลก ทั้งนี้ประเทศไทยเคยขึ้นสู่อันดับสูงสุดที่อันดับ 7 ก่อนที่สถานการณ์โควิด-19 จะเกิดขึ้นในปลายปีพ.ศ.2562 ด้วยมูลค่าตลาด 1.7 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ มากกว่า 6.1 แสนล้านบาท ถือเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ผู้คนทั่วโลกให้ความสนใจในการเดินทางมาท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพมากเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก

เทรนด์ Preventive Medicine ที่มาพร้อมกับการดูแลสุขภาพแบบเฉพาะบุคคล 

เมื่อเทคโนโลยีมีความก้าวหน้ามากขึ้น ผู้คนก็มีตัวเลือกในการดำเนินชีวิตมากขึ้นเช่นเดียวกัน เฉกเช่นเดียวกันกับความต้องการด้านการแพทย์ในปัจจุบัน ที่ก้าวเข้าสู่ยุคสมัยของการเปลี่ยนผ่านจากการรักษาโรค (Reactive Healthcare) มาสู่การป้องกันก่อนเกิดโรค และเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง (Proactive Healthcare) หรือเรียกได้ว่าเปลี่ยนจากการรักษาคนป่วยให้หายดี สู่การรักษาคนแข็งแรงดีให้ไม่ป่วย ซึ่งเป็นการนำเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ทันสมัยและมีการวิจัยรองรับ หรือที่เรียกว่า Scientific Wellness มายกระดับคุณภาพชีวิตของทุกคนให้สุขภาพดีขึ้น ความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์นำไปสู่การเติบโตของการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน (Preventive Medicine) และการดูแลสุขภาพตามหลักเวชศาสตร์วิถีชีวิต (Lifestyle Medicine) เพื่อเป้าหมายของการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีไม่เพียงแค่ช่วยส่งเสริมการแพทย์เวชศาสตร์ป้องกันให้เกิดขึ้นจริงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงช่วย “ออกแบบ” การดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคลหรือที่เราเรียกว่า “การแพทย์เฉพาะบุคคล (Personalized Medicine)” โดยนำผลจากการตรวจเลือด หรือการตรวจหาภาวะความผิดปกติในระดับเซลล์และระดับพันธุกรรม การขาดวิตามิน และแร่ธาตุ สารต้านอนุมูลอิสระ และความสมดุลของฮอร์โมนของแต่ละบุคคลมาประเมินความเสี่ยงและทำนายการเกิดโรค เพื่อวางแผนปรับไลฟ์สไตล์ให้เข้ากับผู้รับบริการแต่ละบุคคลให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด

นอกจากนี้ การแพทย์เฉพาะบุคคล ยังถือเป็นภาคส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ เนื่องจากข้อมูลสุขภาพที่ได้จากการตรวจสุขภาพในระดับเซลล์ จะเป็นเหมือนเครื่องมือชี้วัดสุขภาพให้คนกลับมาประเมินซ้ำ เพื่อเป้าหมายการมีสุขภาพที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ดังนั้น ความก้าวหน้าในด้านการแพทย์เฉพาะบุคคล จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยต่อยอดธุรกิจการท่องเที่ยวสุขภาพของแต่ละประเทศให้เติบโตขึ้น โดยเฉพาะในประเทศไทยที่ไม่เพียงติดท็อป 15 ของโลกในด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพเพียงเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเติบโตของธุรกิจสปา ที่ถูกจัดอันดับขนาดธุรกิจอยู่ในที่ 16 ของโลก ธุรกิจการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือกที่โตเป็นอันดับที่ 18 ของโลก ธุรกิจอาหารสุขภาพและการลดน้ำหนักที่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 22 ของโลก และธุรกิจอื่น ๆ อีกมากมาย ที่ถูกออกแบบมาเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ให้กับผู้คนทั่วโลก 

BDMS Wellness Clinic กับความมุ่งมั่นในการสานต่อโครงการ Wellness Hub Thailand 

การเติบโตของธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและความโดดเด่นขององค์ประกอบต่าง ๆ ที่เป็นเอกลักษณ์ของประเทศไทย ได้สร้างโอกาสสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศให้ก้าวสู่การเป็น Wellness Destination of the World โดย BDMS Wellness Clinic ได้มองเห็นศักยภาพนี้และมุ่งมั่นผลักดันให้ประเทศไทยกลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านสุขภาพที่ยั่งยืนและมีคุณภาพ ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Ignite Thailand ของรัฐบาลในการผลักดันประเทศให้เป็นศูนย์กลางทางด้านสุขภาพระดับสากล

BDMS Wellness Clinic มุ่งมั่นที่จะเป็นอีกหนึ่งส่วนสำคัญในการช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World โดยเราได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ทั้งในด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม อาหาร สมุนไพร การบริการอันเปี่ยมไปด้วยความเป็นไทย และการแพทย์แผนไทย ผสมผสานกับเทคโนโลยีการแพทย์ที่ทันสมัย ที่ช่วยส่งเสริมประเทศไทยให้เป็นหนึ่งในประเทศที่พร้อมนำเสนอบริการสุขภาพแบบองค์รวมให้กับผู้คนทั่วโลก โดยเราตั้งเป้าว่าประเทศไทยจะติด Top 5 ของโลก เป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนทั่วโลกต้องการที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเชิงสุขภาพมากที่สุด”

“อย่างไรก็ตาม การจะผลักดันให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพได้นั้น เราต้องทำงานร่วมกันเป็น #TeamThailand โดยต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน นักวิชาการ ชุมชน รวมถึงประชาชนในประเทศ ในการร่วมสร้างประเทศให้น่าดึงดูดให้คนทั่วโลกเดินทางมาท่องเที่ยวที่ประเทศของเรา เพื่อส่งเสริมให้ประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการเป็น Wellness Hub ของโลกในที่สุด” นายแพทย์ตนุพล กล่าวปิดท้าย

BDMS Wellness Clinic ขอร่วมเป็นส่วนหนึ่งของ #TeamThailand เพื่อช่วยผลักดันประเทศไทยสู่การเป็น Wellness Destination of the World ผ่านการมอบบริการด้านการดูแลสุขภาพที่ผสานแผนการดูแลสุขภาพเฉพาะบุคคล เข้ากับศาสตร์การแพทย์เวชศาสตร์ป้องกัน ภายใต้การดำเนินการผ่านเทคโนโลยีที่ทันสมัย ด้วยจุดมุ่งหมายในการส่งเสริมสุขภาพให้คนทั่วโลกได้มีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน

#BDMSWellnessClinic #สุขภาพที่ดีเริ่มที่การป้องกัน #LiveLongerHealthierHappier #PreventiveMedicine #LifestyleMedicine #ScientificWellness 

รายละเอียดเพิ่มเติม 

FB: Facebook.com/BDMSWellnessClinic

IG @BDMSWellness

เดินทางสะดวกสบายด้วย JR East Pass รวมพิกัดชมวิวซากุระและเทศกาลชมซากุระปี 2025

พอฤดูหนาวผ่านพ้นไป ฤดูแห่งซากุระก็ได้มาถึงแล้ว หากใครที่กำลังมองหาสถานที่ท...