Sunday 5 May 2024 | 3 : 48 pm

‘ผ่าตัดศัลยกรรม’ คืนชีวิตใหม่ ชุบหัวใจคนไข้ หลังรักษามะเร็งจบ

“ศัลยกรรมเปลี่ยนชีวิตได้” เชื่อว่าคนเราทุกคน ทั้งคนที่มีสุขภาพดีและคนที่เจ็บป่วย ต้องล้วนแล้วแต่อยากเป็นคนที่ดูดีในสายตาของผู้อื่นอยู่เสมอ ผู้ป่วยหลายคนจึงเลือกทำศัลยกรรมความงาม หลังจากรักษาโรคมะเร็งจนหายดีแล้ว เพื่อคืนความสุขและให้ชีวิตใหม่กับตัวเอง

นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล

ในเรื่องนี้ นพ.ธนัญชัย อัศดามงคล แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมตกแต่งและผู้อำนวยการศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด ในฐานะศัลยแพทย์ผู้สะสมประสบการณ์และมีผลงานด้านการศัลยกรรมความงามจนเป็นที่ประจักษ์ และได้รับความไว้วางใจจากคนไข้ทุกเพศ ทุกวัย กล่าวว่า การศัลยกรรมความงาม จะมีผลต่อการเกิดโรคมะเร็ง จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มที่ 1 การทำศัลยกรรมความงามไม่เพิ่มและไม่ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง กลุ่มที่ 2 ศัลยกรรมความงามที่ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง และกลุ่มที่ 3 ศัลยกรรมความงามที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากขึ้น ซึ่งกลุ่มคนไข้ที่ไม่เพิ่มและไม่ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง เช่น คนไข้เสริมซิลิโคนหน้าอก หากทำทุกขั้นตอนอย่างถูกต้องตามหลักทางการแพทย์ ด้วยการเลือกใช้ซิลิโคนที่ดี มีคุณภาพ ได้มาตรฐานการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย. ) และ องค์การอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administration) หรือ U.S. FDA รวมถึงมีผลงานวิจัยรองรับ ก็เท่ากับว่า เป็นการทำศัลยกรรมความงามที่ปลอดภัย แต่ถึงอย่างไร ผู้ที่ทำศัลยกรรมหน้าอก ก็ต้องหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยเป็นอันดับต้นๆ ในเพศหญิง

กลุ่มถัดมา เป็นคนไข้ที่ต้องการลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง คือ กลุ่มที่ตัดเนื้อเต้านมออก เช่น กรณีคนไข้มีหน้าอกขนาดใหญ่แล้วทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันลำบาก จึงต้องการผ่าตัดลดขนาดหน้าอกจากใหญ่ให้เล็กลง ถือว่าเป็นการช่วยลดความเสี่ยงการเกิดมะเร็งเต้านมให้น้อยลงได้ หรือกรณีเป็นผู้หญิงต้องการผ่าตัดแปลงเพศเป็นผู้ชาย ก็ตัดเนื้อเต้านมออกทั้งหมด ซึ่งนอกจากจะเป็นการศัลยกรรมความงามแล้ว ยังช่วยลดโอกาสการเกิดมะเร็งเต้านมได้ถึง 100% ด้วย

อีกกลุ่มที่สำคัญมาก เป็นคนไข้ที่มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งมากขึ้น เพราะบางรายไปทำศัลยกรรมด้วยวัสดุหรือสารที่ไม่มีคุณภาพ ยิ่งเป็นการเพิ่มความเสี่ยงให้กับร่างกายคนไข้ เนื่องจากไม่มีทางทราบว่าวัสดุหรือสารที่ฉีดเข้าไปในร่างกาย จะก่อให้เกิดเป็นมะเร็งหรือไม่ หรือบางรายวัสดุหรือสารนั้นไม่ก่อให้เกิดโรคมะเร็ง แต่สะสมไปในร่างกายเรื่อยๆ อาจเป็นอันตรายภายหลังได้ เช่น คนไข้ฉีดซิลิโคนเหลวเข้าสู่ร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นบริเวณใบหน้า เต้านม หรืออวัยวะเพศ ในระยะยาวอาจเสี่ยงต่อการเกิดก้อนแข็ง และมีโอกาสกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้

“หมอจะเล่างานวิจัยหนึ่งที่น่าสนใจ มีการแบ่งกลุ่มคนไข้ที่เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน กับคนไข้ที่ไม่เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน กลุ่มไหนจะเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้มากกว่ากัน ผลปรากฏว่าทั้ง 2 กลุ่ม มีโอกาสเกิดโรคมะเร็งเต้านมได้เท่ากัน ถึงแม้ว่าถุงซิลิโคนจะไม่ได้เป็นตัวก่อให้เกิดโรคมะเร็งเต้านม แต่สิ่งที่น่าสนใจ คือ คนที่เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน มีโอกาสตรวจพบก้อนมะเร็งได้เร็วกว่า เพราะคนไข้กลุ่มนี้มักจะไปพบแพทย์ เพื่อทำแมมโมแกรมหรืออัลตราซาวด์ ตรวจเช็คสภาพซิลิโคน จึงทำให้มีโอกาสพบก้อนต่างๆ ได้เร็วกว่าคนไข้ที่ไม่เสริมหน้าอกด้วยถุงซิลิโคน จึงถือเป็นข้อแตกต่างและผลดีของคนไข้ที่ทำศัลยกรรม”

ศัลยกรรมอย่างไร…ให้ปลอดภัยจากมะเร็ง

นพ.ธนัญชัย กล่าวถึงการทำศัลยกรรมให้ปลอดภัยว่า การทำศัลยกรรมทุกส่วนให้มีความปลอดภัย คนไข้จำเป็นต้องเลือก 3 ปัจจัยให้ถูกต้อง ดังนี้ ปัจจัยที่ 1 เลือกวัสดุที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐานและผ่านการรับรองทางการแพทย์ ปัจจัยที่ 2 เลือกแพทย์ผ่าตัดที่มีความชำนาญและประสบการณ์สูง จบเฉพาะทางด้านศัลยกรรมความงาม และปัจจัยที่ 3 เลือกความปลอดภัยมาเป็นอันดับแรก โดยคนไข้ควรมีแนวคิดที่ถูกต้องในการทำศัลยกรรม ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นเรื่องหลัก ซึ่งหมอจะแนะนำคนไข้ว่า ยิ่งทำน้อย ยิ่งทำพอดีกับร่างกาย และยิ่งเลือกเก่ง จะยิ่งปลอดภัยจากการทำศัลยกรรม หมอขอยกตัวอย่าง คนไข้บางท่าน เมื่อทำศัลยกรรมเสร็จ ดูสวยในช่วงแรก ไม่ว่าจะเป็นการผ่าตัดศัลยกรรมเสริมหน้าอก หรือการเสริมซิลิโคนที่จมูกให้ดูพุ่งมากเกินไป สิ่งเหล่านี้ในระยะยาว มักเกิดปัญหา ไม่ใช่แค่ความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง แต่ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น หน้าอกที่คนไข้เสริมมีขนาดใหญ่มากเกินไป ทำให้คนไข้ต้องแบกรับน้ำหนักของหน้าอก จนมีปัญหาเรื่องความหย่อนคล้อยตามมา หรือจะเป็นการเสริมซิลิโคนที่จมูกให้พุ่งโด่งสูงมากเกินไป โอกาสเสี่ยงติดเชื้อหรือทะลุ มีได้ง่าย ดังนั้น ไม่ว่าคนไข้จะทำศัลยกรรมในส่วนไหน ควรคำนึงถึงความพอดีและความปลอดภัยต่อร่างกายเป็นที่ตั้ง

การศัลยกรรมกับผู้ป่วยโรคมะเร็ง

นพ.ธนัญชัย อธิบายการศัลยกรรมกับผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า ในปัจจุบันวิวัฒนาการทางการแพทย์เจริญก้าวหน้าขึ้นมาก การรักษาโรคมะเร็งส่วนใหญ่ ก็จะสามารถรักษาหายได้ตามขั้นตอนทางการแพทย์ และเมื่อมะเร็งรักษาหายหรืออาการดีขึ้นแล้ว คนไข้สามารถทำการผ่าตัดศัลยกรรมความงาม เพื่อทำให้ร่างกายและจิตใจดีขึ้น ซึ่งนอกจากคนไข้จะมีกำลังใจในการต่อสู้กับโรคร้าย ยังมีพลังใจที่ดีในการดำเนินชีวิตมากขึ้นด้วย อย่างกรณีผู้ป่วยโรคมะเร็งเต้านม เมื่อตัดเต้านมทิ้ง และหลังจากกระบวนการรักษาโรคมะเร็งเสร็จสิ้นลง ก็สามารถผ่าตัดศัลยกรรมสร้างเต้านมเทียม พร้อมทำลานหัวนมและหัวนมขึ้นมาใหม่ได้ แต่ทั้งนี้ การผ่าตัดศัลยกรรมต้องได้รับคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และขึ้นอยู่กับระยะของการเป็นมะเร็งเต้านมด้วย โดยถ้าเป็นมะเร็งเต้านมในระยะแรก หากแพทย์มั่นใจว่าจะสามารถตัดเนื้อเต้านมที่มีเชื้อมะเร็งออกได้ทั้งหมด และคนไข้ไม่จำเป็นต้องรับการฉายแสงหรือคีโม หรือกรณีคนไข้ที่ยังไม่เป็นโรคมะเร็ง แต่มีประวัติสมาชิกในครอบครัวเป็นโรคมะเร็ง ทำให้คนไข้มีโอกาสเสี่ยง จึงตัดสินใจตัดเต้านมออก ในกรณีนี้สามารถผ่าตัดเนื้อเต้านมออกแล้วใส่ถุงซิลิโคนเข้าไปได้ทันที

ส่วนกรณีคนไข้ที่เป็นมะเร็งเต้านมในระยะอื่น  เมื่อผ่าตัดเนื้อเต้านมเรียบร้อยแล้ว คนไข้ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการฉายแสงหรือเคมีบำบัด เพื่อรักษามะเร็งเต้านมให้หายดีก่อน ค่อยผ่าตัดเสริมซิลิโคนเข้าไปในภายหลัง

ไมเคิล ผู้ป่วยมะเร็ง

ความภูมิใจของหมอ คือ ความสุขคนไข้

นพ.ธนัญชัย กล่าวถึงการศัลยกรรมคืนชีวิตใหม่ให้คนไข้ผู้ป่วยโรคมะเร็งว่า มีคนไข้ท่านหนึ่งน่าสนใจ ป่วยเป็นมะเร็งที่บริเวณใบหน้า เข้ารับการผ่าตัดและฉายแสงที่ใบหน้า เพื่อรักษาโรคมะเร็ง โดยเมื่อรักษาโรคมะเร็งจนจบ ปรากฏว่าใบหน้าของคนไข้มีลักษณะตอบลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะน้ำหนักตัวของคนไข้ลดลงไปหลายกิโลกรัมในช่วงของการรักษาตัว ทำให้ใบหน้ายิ่งดูโรยรามากกว่าวัย ซึ่งเป็นความเสื่อมโทรมของสุขภาพร่างกายจากการรักษาโรคมะเร็ง คนไข้จึงบินตรงมาไกลจากประเทศสหรัฐอเมริกา เพื่อมาขอคำปรึกษาจากหมอ ในการพัฒนาใบหน้าให้กลับมาดูดียิ่งขึ้น หมอจึงแนะนำให้ศัลยกรรมดึงหน้า นำไขมันบริเวณหน้าท้องและที่ต้นขามาสกัดเป็นเซลล์แล้วฉีดเข้าบริเวณใบหน้า ซึ่งหมอได้ทำการปรับสภาพผิวหน้าเเละเติมเต็มผิว ด้วยการผสานเทคนิคเติมเต็มร่องต่างๆ ด้วยไขมันของคนไข้เอง (Fat Grafting) ร่วมกับการปรับสภาพผิวหน้าด้วยสารสกัดพลาสม่า (PRP) กระตุ้นการซ่อมแซมเนื้อเยื่อต่างๆ ให้ใบหน้าดูอ่อนวัยลง แก้ปัญหาความหย่อนคล้อย เพิ่มความอวบอิ่ม เติมเต็มความอ่อนเยาว์ พร้อมพัฒนาคุณภาพผิวหน้า ในการผ่าตัดครั้งเดียว โดยผลลัพธ์ที่ได้ คนไข้รู้สึกพึงพอใจมาก หมอสัมผัสได้ถึงความสุขและคุณภาพชีวิตของคนไข้ที่ดียิ่งขึ้น

“คนไข้บางท่านนอกจากทำศัลยกรรมเพื่อตัวเอง ยังทำเพื่อคนรอบข้าง ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าใบหน้าเขาดูดียิ่งขึ้น ซึ่งพอสุขภาพร่างกายเราดี ก็มีผลต่อจิตใจ ทำให้มีกำลังใจมากขึ้น ดังนั้น ความสุขของหมอ คือ ความสุขของคนไข้ ถ้าหมอทำศัลยกรรมให้กับคนไข้แล้วทำให้เขามีความสุข มีชีวิตที่ดียิ่งขึ้น สามารถให้ชีวิตใหม่และเปลี่ยนแปลงชีวิตเขาได้ หมอถือว่าเป็นความสำเร็จในชีวิตศัลยแพทย์ ซึ่งเป็นเรื่องที่หมอรู้สึกภูมิใจมากที่สุด”

ไมเคิล ผู้ป่วยมะเร็ง หลังทำศัลยกรรม ดึงหน้า ดึงหางตา ดึงคอ ฉีดไขมันแก้ม ที่ศูนย์ศัลยกรรมความงาม รพ.บางมด

นพ.ธนัญชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า กว่า 35 ปีที่โรงพยาบาลบางมด ดูแลคนไข้ เหมือนเราดูแลญาติ ทางศูนย์ศัลยกรรมความงามโรงพยาบาลบางมด จึงเน้นเรื่องความปลอดภัยในการทำศัลยกรรมให้กับคนไข้ทุกราย โดยทุกขั้นตอนจะทำอย่างถูกต้องตามหลักทางการแพทย์ ไม่ว่าจะเป็นการใช้วัสดุหรือสารต่างๆ ที่ใส่เข้าไปในร่างกายคนไข้ ต้องเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ดังนั้น เวลาคนไข้มาปรึกษาหมอเรื่องการทำศัลยกรรม เราจะแนะนำคำตอบที่ถูกต้องและตรงจุดให้กับคนไข้ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดกลับไป เราจึงมุ่งเน้นเรื่องการพัฒนาและใช้เทคนิคใหม่ที่ทันสมัยในการผ่าตัดศัลยกรรมอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์การทำศัลยกรรมคนไข้ให้ผลออกมาดูดีที่สุด แผลเล็ก เจ็บน้อย หายเร็ว และเป็นธรรมชาติ

ปรึกษาเรื่องศัลยกรรมความงาม โทร.0-2867-0606 ต่อ 1200-1204

เจโทรฯ จัดงาน JAPAN PREMIUM HOTATE – From HOKKAIDO Ocean to your Table – ชูความสำเร็จ ดั...

องค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กรุงเทพฯ ร่วมกับกระทรวงเ...