มากุโระ กรุ๊ป (Maguro Group) กลุ่มผู้นำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นและเกาหลีระดับพรีเมี่ยมของประเทศไทย โชว์ความสำเร็จธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นเติบโตแบบก้าวกระโดด พร้อมผนึกกำลังทุนจากนักลงทุนสถาบันชั้นนำในภูมิภาคเอเชียกว่า 300 ร้อยล้านบาท สู่การขยาย 2 แบรนด์ใหม่ “SSAMTHING TOGETHER” ร้านอาหารเกาหลีระดับพรีเมี่ยม และ “TAIKO” ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นแบบจานด่วนที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ เอาใจกลุ่มคนรุ่นใหม่ด้วยความคุ้มค่าและความแตกต่าง ตั้งเป้ายอดขายปี 2565 จำนวน 750 ล้านบาท รวมถึงการมุ่งหน้าเข้าตลาดทรัพย์ฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้
นายเอกฤกษ์ แสงเสรีดำรง กรรมการบริหาร ร้านอาหารญี่ปุ่นมากุโระ และกลุ่มธุรกิจในเครือมากุโระ กรุ๊ป เปิดเผยว่า การดำเนินงานของกลุ่มธุรกิจในเครือมากุโระ กรุ๊ป ในปี 2564 ที่ผ่านมานับว่าเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ถึงแม้จะอยู่ในช่วงวิกฤตของสถานการณ์โควิด แต่ร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือทั้ง 10 สาขาก็ยังแข็งแกร่ง เนื่องจากมีการปรับตัวที่ดีทั้งแผนการตลาด และมาตรฐานสุขอนามัย โดยยังคงคุณภาพอาหารที่ดีเยี่ยม ทำให้มีฐานกลุ่มลูกค้าที่มั่นใจในแบรนด์มาใช้บริการอย่างตัวเนื่อง
รวมทั้งในปีนี้ ยังได้มีการขยายกิจการตามแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทที่กำหนดไว้ ได้รับเงินลงทุนจากนักลงทุนระดับสถาบันชั้นนำในภูมิภาคเอเชีย เพื่อต่อยอดการขยายธุรกิจ โดยได้เปิดตัว 2 แบรนด์น้องใหม่ “SSAMTHING TOGETHER” ร้านอาหารเกาหลีพรีเมี่ยม และ “TAIKO” ร้านซูชิและอาหารญี่ปุ่นแบบจานด่วนที่เปี่ยมด้วยคุณภาพ (Japanese Quality Fast Meal) เอาใจคนรุ่นใหม่ซึ่งเป็นกลุ่มตลาดขนาดใหญ่ (Mass) ที่มองหาความคุ้มค่าและความแตกต่าง โดยได้มีการเปิดตัวแบรนด์ SSAMTHING TOGETHER ในกันยายน 2564 ที่ผ่านมา ณ ศูนย์การค้าเมกาบางนา และ “TAIKO” ที่สยามพารากอน โดยมั่นใจว่าทั้งสองแบรนด์น้องใหม่นี้จะเป็นอีกฟันเฟืองสำคัญขับเคลื่อน “มากุโระ กรุ๊ป” คว้าตำแหน่งหนึ่งในผู้นำธุรกิจอาหารในภูมิภาคเอเชีย โดยได้ตั้งเป้ายอดขายรวมของบริษัทอยู่ที่ 750 ล้านบาทในปี 2565 และมุ่งหน้าเข้าตลาดทรัพย์ฯ ในอีก 2 ปีข้างหน้านี้
“เราได้มีการมองหาโอกาสเพื่อที่จะขยายธุรกิจออกไปในรูปแบบใหม่ ๆ มาโดยตลอด และได้รับการติดต่อจากหลาย ๆ กลุ่มนักลงทุน ที่สนใจจะมาร่วมทุนในการขยายธุรกิจของเรา จากรากฐานการทำธุรกิจของเราที่มี DNA ที่แข็งแรง มีแบรนด์ที่เป็นที่รู้จักในวงกว้าง และมีแฟนคลับอยู่เป็นจำนวนมากทั่วกรุงเทพฯ” นายเอกฤกษ์กล่าว
โมเดลธุรกิจของ “มากุโระ กรุ๊ป” คือการขยายธุรกิจอย่างยั่งยืนและมั่นคง โดยมีแนวทางที่จะต่อยอดและขยายฐานธุรกิจให้กว้างขึ้น การได้รับเงินทุนจากนักลงทุนสถาบันต่างชาติจะช่วยในการต่อยอดทางธุรกิจ ผ่านการสร้างแบรนด์ใหม่ ๆ รวมถึงการเปิดโอกาสการขยายธุรกิจผ่านช่องทางการร่วมลงทุน และควบรวมกิจการ (M&A) กับบริษัทอื่น ๆ ทั้งในและนอกอุตสาหกรรมร้านอาหารเช่นกัน โดยมีเป้าหมายให้เจ้าของบริษัทที่ต้องการผู้ลงทุนได้มีโอกาสเติบโตไปได้อย่างยั่งยืน โดยมี “มากุโระ กรุ๊ป” เป็นผู้ร่วมทุน และแชร์ประสบการณ์และความรู้ในธุรกิจอาหารร่วมกัน การต่อยอดทางธุรกิจโดยภายใต้ 2 แบรนด์ใหม่นี้ จะทำให้สามารถขยายสาขาได้มากกว่า 10 สาขารวมทุกแบรนด์ในแต่ละปี และจะทำให้มีอย่างน้อย 50 สาขาทั่วประเทศ ภายในปี 2566
ทั้งนี้ ปัจจัยในความสำเร็จตลอด 6 ปีที่ผ่านมาของ “มากุโระ กรุ๊ป” คือการดำเนินธุรกิจภายใต้วัฒนธรรมหลักของแบรนด์ นั่นคือ ‘Way of Giving More’ หรือ ‘วัฒนธรรมแห่งการให้มากกว่าที่ขอ’ ที่ตั้งใจถ่ายทอดความใส่ใจของอาหารทุกจานจากวัตถุดิบคุณภาพ ผ่านการปรุงที่เคารพในวัตถุดิบ และเข้าใจศิลปะของอาหารญี่ปุ่นที่สุดตามมาตรฐานของ “มากุโระ” จนเป็นที่ประทับใจของลูกค้ามาตลอด โดยผู้บริหารมีความต้องการที่จะถ่ายทอดวัฒนธรรมขององค์กรนี้ส่งต่อไปกับทุก ๆ แบรนด์ ทุกกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากขึ้น กลยุทธ์อาจจะมีปรับเปลี่ยนไปเพื่อให้เหมาะกับแบรนด์นั้น ๆ แต่หัวใจหลักของผลิตภัณฑ์ คือความใส่ใจในการรังสรรค์อาหาร วัตถุดิบที่เลือกมา และการบริการของเราจะต้องเป็นไปตาม DNA ของ มากุโระ กรุ๊ป ทั้งหมด
นอกเหนือจากแผนการขยายตัวกิจการแล้ว มากุโระ กรุ๊ป ยังคำนึงถึงเรื่องการเจาะลึกข้อมูลของลูกค้า (Consumer Insight) เป็นอย่างมาก โดยมีการใช้กลยุทธ์ “Data Driven Marketing” ทำการวิเคราะห์ในเชิงของกลยุทธ์เพื่อค้นหาปัญหา (Pain Point) และความต้องการของลูกค้า เพื่อนำไปพัฒนาเมนูใหม่ ๆ ที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของลูกค้าหลากหลายกลุ่ม อาทิ เมนู Quick and Easy ที่เน้นความเร็ว ขนาดพอประมาณ ราคาจับต้องได้ มีให้บริการที่สาขาสยาม และสาขาเอสพลานาด ซึ่งเป็นกลุ่มคนทำงานและนักศึกษาที่มีเวลาพักกลางวันไม่นาน โดยเมนูจานด่วนที่มีคุณภาพเหล่านี้ ช่วยให้ขายได้เร็วขึ้น เกิดการหมุนเวียนวัตถุดิบที่เร็ว เข้าถึงคนกลุ่มใหญ่ได้มาก รวมถึงเป็นความตั้งใจที่อยากให้ลูกค้าได้รับประทานของดีในราคาที่เหมาะสม
ด้านภาพรวมตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะวัฒนธรรมการรับประทานของคนไทยและญี่ปุ่นมีความคล้ายกัน จึงทำให้มีร้านญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นทุกปี ปัจจุบันมีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 21% จากปี 2561 แบ่งเป็นประเภทบุพเฟ่ต์ปิ้งย่าง ชาบู สุกี้ ราเมง และล่าสุดซูชิแบบโอมากาเสะก็เริ่มแพร่หลายมากขึ้น และจากข้อมูลประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น หรือ “เจโทร กรุงเทพฯ” เปิดเผยถึงผลการสำรวจตลาดอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยปี 2563 ว่า มีร้านอาหารญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นเป็นร้านอาหารประเภทซูชิเพิ่มขึ้นสูงสุดกว่า 504 ร้าน ซึ่งมากกว่าปี 2562 ถึง 50%
“แม้ว่าปัจจุบันตลาดธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีการแข่งขันที่สูงอย่างมาก แต่มากุโระยังสามารถสร้างจุดเด่นให้แตกต่างด้วยคุณภาพของอาหารในคอนเซปต์ “ใหญ่ สด คุ้ม” และเป็นร้าน Premium Mass ที่ทำอาหารให้มีคุณภาพแบบ Fine Dining ในราคาที่จับต้องได้ รวมถึงมีความชัดเจนในความเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารญี่ปุ่นแท้ ๆ และมุ่งมั่นสร้างวัฒนธรรม “การให้มากกว่าที่ขอ” (Give More) ให้อยู่ในทุก ๆ ด้านของการบริการของเราอย่างต่อเนื่อง นั่นคือมอบอาหารที่มีคุณภาพและสร้างประสบการณ์ที่รู้สึกอิ่มเอมใจ ทุกครั้งที่เดินออกจากร้านมากุโระของเรา” นายเอกฤกษ์กล่าวปิดท้าย