Sunday 5 May 2024 | 3 : 17 am

มิติใหม่แห่งวงการบำบัด สร้างสุขภาวะที่ดีให้คนในสังคม เปิดตัว ‘ทีมสุนัขนักบำบัดฯ’ รุ่นแรกของไทย การันตีด้วยหลักสูตรอบรมมาตรฐานระดับโลกจากสวิตฯ

สมาคมสุนัขนักบำบัด จัดงาน First in Thailand, Therapy Dog Thailand Team Debut!” เพื่อเปิดตัวทีมสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย รุ่นที่ 1 ที่ผ่านการอบรม “หลักสูตร Certified Therapy Dog Thailand” ซึ่ง allfine เป็นผู้ริเริ่มโครงการและพัฒนาหลักสูตรสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทยขึ้นเมื่อปีพ.ศ. 2563 เพื่อฝึกฝนเจ้าของสุนัขและสุนัขที่มีศักยภาพให้เป็น “ทีมสุนัขนักบำบัด” มาตรฐานระดับโลก เป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตามแนวทางของ Therapy Dog Association Switzerland VTHS ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยหวังว่างานในครั้งนี้จะสร้างการรับรู้ให้สังคม ในวงกว้างถึงความพร้อม ของทีมสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย ในการต่อยอดความรู้ไปสู่ การลงมือ ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างความรัก และความสุขให้แก่สังคมไทย

คุณวรกร โอสถารยกุล ผู้ก่อตั้งโครงการและหลักสูตรสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย (Therapy Dog Thailand) และนายกสมาคมสุนัขบำบัด กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2563 allfine ได้มีการเปิดอบรมหลักสูตร Certified Therapy Dog Thailand จนวันนี้ มี “ทีมสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทยรุ่นที่1” ที่ผ่านการทดสอบและทำงานในฐานะจิตอาสา เพื่อทดลองบำบัดผู้รับบริการกว่า 150 ราย ในหลากหลาย สถานที่ อาทิ การบำบัดเด็กหูหนวก ที่โรงเรียนเศรษฐเสถียร ในพระราชูปถัมภ์, การบำบัดผู้ป่วย ในที่มีภาวะซึมเศร้าของโรงพยาบาล ศรีธัญญา, การบำบัดผู้สูงวัยที่มีภาวะสมองเสื่อม ที่ศูนย์เวชศาสตร์ ฟื้นฟูหลอดเลือดสมองที่ The Senizens และการบำบัดเด็กพิเศษที่อยู่ภายใต้การดูแลของศูนย์การศึกษาพิเศษ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์  

สำหรับก้าวต่อไปของโครงการ คุณวรกร เผยว่าภายหลังมีการจัดตั้งสมาคมสุนัขบำบัด จะให้ทีม สุนัขนักบำบัดฯ ที่จบการศึกษาได้สิทธิ์เข้าเป็นสมาชิกของสมาคมสุนัขบำบัด เพื่อร่วมเป็นคณะกรรมการ กำหนดทิศทางและการทำงานภาคการบำบัด เพื่อสร้างความรักและความสุขให้แก่สังคมไทย ในมิติต่างๆ อาทิ การเป็นหนึ่งในทางเลือกของเครื่องมือแพทย์ในการบำบัดผู้ป่วย, การเป็นสื่อการเรียนการสอน สำหรับเด็กพิการหรือเด็กที่มีความต้องการพิเศษ, การเป็นผู้นำในการส่งเสริมการสร้าง ความสัมพันธ์อันดีของ เจ้าของสุนัขและสุนัขผ่านการเลี้ยงดู ตลอดจนการจัดพื้นที่ เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีต่อการอยู่ร่วมกันของคน และสุนัข ไปจนถึงการพัฒนาต่อยอดไปสู่การทำงานภาคสังคมร่วมกับภาครัฐ ในการพัฒนาสุนัขชุมชน ต่อไป

“จากนี้ การทำงานของเรา จะดำเนินไปแบบคู่ขนานทั้งการฝึกอบรมและการบำบัด ดังนั้น ก้าวแรก ที่สำคัญ คือ การสร้างการรับรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับสุนัขนักบำบัด ว่าป็นการฝึกอบรมให้เจ้าของได้มี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับผู้รับการบำบัดในแต่ละกลุ่มไม่ว่าจะเป็นภาวะโรค ลักษณะพื้นฐานที่พึงรู้ สภาวะทางร่างกายและจิตใจ การออกแบบการบำบัดซึ่งเป็นหลักสำคัญ ในการเข้าบำบัดให้เกิดผลสำเร็จ ได้อย่างดี ทั้งหมดเป็นเหมือนวิชาชีวิต ที่เราสามารถนำไปใช้ได้ตลอดชีวิต ไม่ว่ากับคนในครอบครัว หรือคน รอบตัว เราเรียนกันจริงจังทั้งเจ้าของและสุนัข ตามแนวทางมาตรฐานหลักสูตรระดับโลก เพื่อสร้างความ มั่นใจและอุ่นใจในการไปทำงานร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงส่งเสริมภาคธุรกิจในการพัฒนา สังคม ต่อไป อีกส่วนหนึ่ง คือ การสร้างทีมสุนัขนักบำบัดฯ ซึ่งตอนนี้เรากำลังเปิดรับสมัครรุ่นที่ 3 เพื่อเชิญชวนผู้ที่สนใจมาร่วมเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญในการร่วมสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของวงการบำบัดไทย ด้วยการใช้ “ทีมสุนัขนักบำบัด” เป็นอีกหนึ่งทางเลือกเครื่องมือแพทย์สำหรับการบำบัดผู้ป่วยหรือผู้ที่ต้องการบำบัด

ด้านคุณนุ่น-อาจารี เกียรติเฟื่องฟู ข้าราชการ นักไตรกีฬา และเจ้าของเพจรองเท้าสองคู่ เจ้าของน้องซัมเมอร์ ตัวแทนทีมสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย รุ่นที่ 1 กล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจมาอบรมเป็นทีมสุนัขนักบำบัดฯ ว่านอกจากซัมเมอร์จะเป็นหมาที่แอกทีฟ และทำกิจกรรมเยอะอยู่แล้ว เธอยังเชื่อว่าสุนัขเกิดมาเพื่อมี Purpose บางอย่าง ซัมเมอร์ไม่ได้เกิดมาเพื่อรักเจ้าของเท่านั้น แต่ยังเผื่อแผ่ความรักไปถึงคนรอบข้างด้วยเช่นกัน

“ก่อนหน้านี้ เคยได้ยินเกี่ยวกับหลักสูตรสุนัขบำบัดในต่างประเทศมาบ้าง แต่ยังไม่ได้มีโอกาสเข้าร่วม จนพอรู้ว่ามีหลักสูตรสุนัขนักบำบัดในประเทศไทย เลยตัดสินใจมาเรียน ​พอมาเรียนทำให้รู้ว่า หลักสูตรนี้ค่อนข้างตอบโจทย์ และเหมาะกับซัมเมอร์มาก ความสุขที่ได้จากการมาอบรม คือ นอกจากตัวเราและซัมเมอร์จะมีความสุขที่ได้ช่วยเหลือคนอื่น ยังดีใจที่เห็นว่าคนเราเข้าไปช่วยบำบัดก็มีความสำคัญเช่นกัน ที่สำคัญ เรายังได้นำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะเรื่องการสังเกตปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อสุนัขของเรา รู้ว่าเราควรจะเข้าหาคนแต่ละประเภทอย่างไร เพราะเวลาเราไปทำงานบำบัด เราก็ต้องรู้จักสังเกต และทำความรู้จักผู้ป่วยหลายๆ ประเภทเช่นกัน เพื่อให้การบำบัดบรรลุเป้าหมาย ซึ่งนุ่นหวังว่า การมีทีมสุนัขนักบำบัดที่ผ่าน​การอบรมหลักสูตรฯที่ได้มาตรฐาน จะสร้างความมั่นใจให้กับหน่วยงานต่างๆ พร้อมเปิดใจให้ทีมสุนัขนักบำบัดเข้าไปปฎิบัติหน้าที่ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการทำงานเพื่อช่วยเหลือสังคม

ด้านคุณตาม-วันวิสาข์ ล่ำซำ ทนายความและที่ปรึกษากฎหมาย เจ้าของยุ่งยิ่ง อีกหนึ่งตัวแทนทีมสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย รุ่นที่ 1 เสริมว่า​ จริงๆ แล้วยุ่งยิ่งเป็นสุนัขของลูกสาว ซึ่งไปเรียนต่อต่างประเทศ เลยฝากให้ช่วยเลี้ยง ช่วงแรกๆ ที่ลูกสาวทั้งสองคนไม่อยู่บ้านค่อนข้างเหงา แต่พอทุกเช้าตื่นมาเจอยุ่งยิ้่งที่มีท่าทีตื่นเต้น ดีใจทุกครั้งที่เจอกันทุกเช้า ทำให้รู้สึกว่ามีความสุขเหมือนได้เติมเต็มพลังบวกในการเริ่มต้นทุกวัน จนพอมาเข้าร่วมหลักสูตรสุนัขนักบำบัดฯ ทำให้ค้นพบศักยภาพในตัวของยุ่งยิ่ง และยังได้รู้จักเพื่อนใหม่ๆ ที่เป็นคนรักสุนัขด้วยกัน และยังได้เห็นมุมมองของคนที่ทุ่มเทเพื่อช่วยเหลือคนอื่น และได้สัมผัสกับพลังของการทำงานเป็นทีมเวิร์กอีกด้วย

นอกจากนี้ภายในงาน ยังมีการจัดเสวนาในหัวข้อ “Therapy Dog for All Well-Being in Thailand” เพื่อฉายภาพอนาคตของชุมชนสุนัขนักบำบัด ที่สอดแทรก อยู่ในมิติต่างๆของการดำเนินชีวิต เพื่อนำไปสู่การมีสุขภาวะที่ดี ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดี ของเจ้าของสุนัขและสุนัขผ่านการเลี้ยงดู การจัดพื้นที่เพื่อสร้างสุขภาวะที่ดีต่อการอยู่ร่วมกันของคนและ สุนัข และการพัฒนาต่อยอดไปสู่การทำงานภาคสังคมเพื่อร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาสุนัขชุมชน ต่อไป ร่วมกับภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงส่งเสริมภาคธุรกิจที่กำลังขยายตัวและเติบโตอย่างรวดเร็วในอนาคต อาทิ เทรนด์ธุรกิจ เพื่อผู้สูงวัย และเทรนด์ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง กลุ่มธุรกิจท่องเที่ยวและบริการ รวมไปถึง งานออกแบบเชิงสถาปัตย์

เริ่มจากคุณขรรค์ ประจวบเหมาะ ที่ปรึกษาและกรรมการกิติมศักดิ์ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์ กล่าวถึงเหตุผลที่ตัดสินใจเป็นที่ปรึกษาโครงการฯ ว่า ก่อนหน้านี้เคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องสุนัขบำบัดในต่างประเทศมาก่อน แต่ที่ผ่านมา หลายคนจะคุ้นกับคอนเซปต์ของสุนัขนำทางคนตาบอดมากกว่า ซึ่งในประเทศไทยก็เริ่มมี แต่ยังอยู่ในวงจำกัด ​​ดังนั้นพอเห็นว่าประเทศไทยจะมีโครงการสุนัขนักบำบัดฯ จึงมองว่าเป็นเรื่องที่ดี และยิ่งตอนนี้มีทีมสุนัขนักบำบัดฯที่ผ่านการอบรมเรียบร้อย เชื่อว่าจะยิ่งทำให้การใช้สุนัขบำบัดเป็นที่แพร่หลายและได้รับความสนใจ

พญ.นาฏ ฟองสมุทร คณะกรรมการกองทุนผู้สูงวัย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสริมว่า ด้วยความที่เป็นแพทย์ดูแลผู้สูงอายุอยู่แล้ว ทำให้เข้าใจว่าหนึ่งในเรื่องใหญ่ของผู้สูงอายุไม่ใช่โรคภัยไข้เจ็บแต่เป็นความเหงา ดังนั้น โครงการสุนัขนักบำบัดฯถือเป็นหนึ่งในกุศโลอุบายที่ช่วยให้ผู้สูงอายุยอมออกจากห้องที่พัก มาทำกิจกรรม และมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกับคนรอบข้าง เพื่อกระตุ้นสมองและร่างกายได้เป็นอย่างดี จึงมองว่าโครงการฯนี้เป็นประโยชน์มาก และยังสามารถขยายผลเข้าไปยังกลุ่มผู้สูงอายุในชุมชน ในชมรม หรือที่บ้าน ตลอดจนใช้ในการบำบัดในระยะสุดท้ายของชีวิต ซึ่งเป็นช่วงชีวิตที่ค่อนข้างเหงา เพราะต้องเผชิญกับความเจ็บปวด หรือบางคนอาจจะเคลื่อนไหวร่างกายไม่ได้ ดังนั้นการได้กอดหรือเล่นกับสุนัข ​ก็สามารถช่วยลดความกังวลและความเจ็บปวดให้คนกลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี”​

ขณะที่สพ.ญ.กฤติกา ชัยสุพัฒนากุล ผู้ก่อตั้งและ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โรงพยาบาลสัตว์ทองหล่อ จำกัด กล่าวว่า สุนัขเป็นสิ่งมีชีวิตที่ช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีให้แก่คนในครอบครัวได้ ยิ่งหากมีการออกแบบและจัดการพื้นที่สำหรับสัตว์เลี้ยงได้ดีแล้ว จะทำให้สัตว์เลี้ยงมีสุขภาพที่ดี และมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย ทำให้คนเลี้ยงก็มีความสุขในการเลี้ยงไปด้วย สร้างความสัมพันธ์ที่ดีของทั้งคนเลี้ยงและสัตว์

ปิดท้ายด้วย รศ.ดร.สิงห์ อินทรชูโต หัวหน้าคณะที่ปรึกษา ศูนย์วิจัยและนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน (RISC) บริษัทแมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (MQDC) กล่าวว่า ที่ผ่านมา หลายคนอาจจะมองว่าสัตว์เลี้ยงเป็นสิ่งที่ช่วยผ่อนคลายจิตใจให้กับมนุษย์ แต่โครงการสุนัขนักบำบัดฯ ช่วยเปิดมุมมองใหม่ว่า​ สุนัขสามารถเป็นหนึ่งในเครื่องมือทางการแพทย์ได้เช่นกัน ซึ่งถือเป็นอีกโจทย์ที่น่าสนใจในการนำไปต่อยอดในเชิงสถาปัตยฯ

“ปกติเวลาจะพัฒนาเมืองแห่งอนาคต เราจะตั้งโจทย์ว่า จะมีส่วนผสมอะไรที่จะนำเข้ามาใช้ได้บ้าง​ ซึ่งที่ผ่านมาสัตว์เลี้ยงจะถูกนำมาต่อยอดในเชิงของการสร้างพื้นที่ให้อยู่ร่วมกับเจ้าของ แต่กลับไม่เคยมองในมิติว่าสัตว์เลี้ยงทำให้เมืองน่าอยู่ขึ้นได้ ด้วยการสร้างสุขภาวะที่ดีให้กับผู้คน ซึ่งเป็นเรื่องที่สนใจ เพราะถ้าไปดูโครงสร้างประชากรไทยที่เลี้ยงสัตว์เป็นเหมือนลูก จะพบว่ามีมากกว่าอัตราเติบโตแซงหน้าอัตราการเกิดของประชากรไปเป็นที่เรียบร้อย จากเมื่อ 20 ปีที่แล้ว อัตราการเกิดอยู่ที่ประมาณ 1.4 ล้านคนต่อปี แต่ตอนนี้อยู่ที่ประมาณ 5 แสนคนต่อปี ดังนั้นในอนาคต เราจะเห็นภาพของคนที่อยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นอย่างแน่นอน จึงไม่แปลกที่วันนี้อาคารที่ออกแบบให้สัตว์เลี้ยงอยู่ร่วมกับเจ้าของได้จะขายดีกว่าอาคารที่ออกแบบมาเพื่อให้ผู้สูงอายุ และเชื่อว่า ถ้าโครงการสุนัขนักบำบัดฯยิ่งเป็นที่รู้จัก อาจจะทำให้เราเห็นทางเลือกใหม่ๆในการพัฒนาเมืองในอนาคต”  รศ. ดร. สิงห์ กล่าวทิ้งท้าย

เกี่ยวกับหลักสูตรสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย

เป็นหลักสูตรที่ allfine เป็นผู้ริเริ่มโครงการและพัฒนาหลักสูตรเพื่อฝึกฝนเจ้าของสุนัขและสุนัข ที่มีศักยภาพ ให้เป็น “ทีมสุนัขนักบำบัด” มาตรฐานระดับโลกเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ตามแนวทางของ Therapy Dog Association Switzerland VTHS ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ โดยมีการออกแบบให้สอดคล้องกับบริบทของคนไทย โดยการเข้าไปพูดคุยกับ ผู้ใหญ่ใน หน่วยงาน องค์กรหรือมูลนิธิต่างๆ เพื่อเข้าใจบริบทที่สุนัขสามารถเข้าไปมีส่วนช่วยเหลือได้ เช่น รมต.จุติ ไกรฤกษ์ รมว.กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ คุณขรรค์ ประจวบเหมาะ ที่ปรึกษาและกรรมการกิติมศักดิ์ มูลนิธิช่วยคนตาบอดแห่งประเทศไทยในพระบรมราชินูปถัมภ์, ดร.มลิวัลย์ ธรรมแสง มูลนิธิอนุเคราะห์คนหูหนวกในพระบรมราชินูปถัมภ์,  พญ.นาฏ ฟองสมุทร คณะกรรมการกองทุนผู้สูงวัย กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์, ดร.สมพร หวานเสร็จ อดีตผู้อำนวยการ ศูนย์การศึกษาพิเศษส่วนกลาง ที่ดูแลเด็กพิเศษและเด็กพิการ, นายศิริศักดิ์ ธิติดิลกรัตน์ อดีตผู้อำนวยการโรงพยาบาลศรีธัญญา และ แพทย์หญิงมธุรดา สุวรรณโพธิ์ ผู้อำนวยการ โรงพยาบาล ศรีธัญญา กลุ่มดูแลผู้ที่เป็นโรคซึมเศร้า อ.ดร.น.สพ.ปรารมภ์ ศรีภวัศราคม สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน พฤติกรรมสัตว์,คุณครูรุ้งจิต ตั้งจิตเจริญ นักปรับพฤติกรรมสุนัข และ กองกำกับการสุนัขตำรวจ เป็นต้น

สำหรับผู้เข้ารับการอบรม จะมี 2 รุ่น รุ่นเยาวชนอายุ 14-18 ปี และรุ่นผู้ใหญ่อายุ 18-65 ปี โดยเจ้าของจะต้องอยู่ อาศัยร่วมกันกับสุนัขตัวที่จะนำมาฝึกไม่น้อยกว่า 1 ปี และมีเวลาที่จะเข้ามาเรียนให้ครบตามเวลาที่กำหนด 30 ชั่วโมง ขึ้นไป  โดยรูปแบบการเรียนการสอนจะสะดวกขึ้น,มากกว่ารุ่น 1 เพราะเราได้รับการสนับสนุนทุนจากสำนัก นวัตกรรม แห่งชาติ (NIA) พัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อให้สามารถอบรมภาคทฤษฎีบนออนไลน์ (Online Theory) และการอบรมภาค ปฏิบัติ ซึ่งพาสุนัขมาพร้อมกับเจ้าของฝึกในสถานที่จริง (On-Floor Practice ) จึงทำให้ผู้อบรมสามารถจัดเวลาเรียน ได้ง่ายมากขึ้น ในส่วนของตัวสุนัขไม่ได้มีการกำหนดสายพันธุ์ แต่ต้องสามารถฟังคำสั่งเบื้องต้นได้ และไม่กลัวการใช้ชีวิต นอกสถานที่ ได้รับวัคซีนครบถ้วน และมีสุขภาพแข็งแรง

หลักสูตรดังกล่าวจะฝึกทั้งเจ้าของสุนัขและสุนัขทั้งภาคทฤษฎีและภาคปฏิบัติ ครอบคลุมตั้งแต่การเรียนรู้ และทำ ความเข้าใจในเรื่องลักษณะพื้นฐาน อาการโรค ความต้องการ และความเหมาะสมในการดูแล ทั้งร่างกายและจิตใจคน ในกลุ่มต่างๆ  ที่ต้องการรับการบำบัด อาทิ ผู้สูงวัย เด็กที่มีความต้องการพิเศษ เด็กสมาธิสั้น ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า คนตาบอด คนหูหนวก เป็นต้น

นอกจากนั้น วันนี้เรายังได้พัฒนาหลักสูตรใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของภาคธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยง, การแพทย์ และการออกแบบพื้นที่ เพื่อให้เกิดสุขภาวะที่ดีแบบองค์รวมในการอยู่ร่วมกับสัตว์เลี้ยงในพื้นที่ต่างๆ เพื่อสร้างความสุขให้แก่สังคมไทย

ทั้งนี้ สำหรับองค์กรใดที่สนใจทำงานหรือรับบริการในด้านต่างๆจากโครงการสุนัขนักบำบัดแห่งประเทศไทย สามารถติดต่อได้ที่ โทร.062-707-7999

ETDA จัด e-TRANSACTION LAW MOOT COURT COMPETITION 2024 แข่งขันโต้เถียงปัญหา ‘กฎหมายธุรกรรมทางอิเล็กท...

สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ดด้า) เปิดตัวก...